Grammar / น่ารู้

अब Quizwiz के साथ अपने होमवर्क और परीक्षाओं को एस करें!

Difference between "A few days ago" with "Some days earlier"?

"A few days ago" is used when we are using "now" as our reference point. It means a few days before now. "Some days earlier" means "several days before the time I am talking about". It uses a time in the past as its reference point, so we use it when we are telling a story about the past and going even further into the past.

a few day / a few days / few day / few days - Which one is correct?

"Few" means some, but not many. "There are a few people outside the building." "I have a few pieces of chocolate left, but I want to eat them all." "He has a few friends." Use it with countable nouns only! And since it means some , you only use it with plurals. Therefore, "a few days" is correct. Wanna know something fun? If you take out the "a" before "few", the meaning becomes "not many" and slightly negative: "There are few people outside the building." (There should be more.) "I have few pieces of chocolate." (I don't have a lot of chocolate) "He has few friends." (Nobody really likes him). Have fun with "few"! --------------------------- When discussing 'few' for countable items, which Thai word would be most correct? "few" = "น้อย" or "ไม่กี่..." and I think we translate it as "ไม่กี่..." more than "น้อย" There are only a few people = ไม่กี่คน (2-3 people) I will be leaving for a few days = ไม่กี่วัน (2-3 days)

"How do you do?" vs "How are you?"

"How do you do?" vs "How are you?" How do you do? หลายคนมักจะคิดว่าเป็นประโยคคำถาม อันที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ ซึ่งมีความหมายเท่ากับคำว่า Hello. หรือ Pleased to meet you. นั่นเอง โดยปกติเราจะใช้ประโยคนี้ เมื่อเราพบใครบางคนเป็นครั้งแรก. เช่น How do you do? Handsome. สวัสดี สุดหล่อ How do you do? ตอนเป็นเด็กผมชอบออกเสียงว่า อ้าว ดู ก็ ดู ส่วน How are you? ประโยคนี้เป็นคำถาม และต้องการคำตอบในตัวของมันเอง เช่น How are you? I am good. หรือ I am fine. Thank you and you?

คุณรู้ไหมว่า คำถาม "What make is your car?" แปลว่าอะไร?

"What make is your car?" ไม่ได้หมายความว่า "รถของคุณทำมาจากอะไร" แต่หมายความว่า "รถของคุณ ยี่ห้ออะไร?"

Acknowledge

(แอคนอล' เลจฺ) vt. ยอมรับ (เป็นความจริง) , รับรอง, แจ้งว่าได้รับ,เห็นคุณค่า. -acknowledgeable adj., -acknowledgment, -acknowledgement n. source : Hope Dictionary [vt.] ขอบคุณ ความหมายอื่นๆ : แสดงความขอบคุณ source : Lexitron Dictionary [vi.] ขอบคุณ ความหมายอื่นๆ : แสดงความขอบคุณ คำความหมายเดียวกัน : thank source : Lexitron Dictionary [vt.] ตอบรับ ความหมายอื่นๆ : แจ้งว่าได้รับ source : Lexitron Dictionary [vi.] ตอบรับ ความหมายอื่นๆ : แจ้งว่าได้รับ คำความหมายเดียวกัน : reply to; answer; respond to source : Lexitron Dictionary [vi.] ยอมรับ คำความหมายเดียวกัน : accept; recognize source : Lexitron Dictionary [vt.] ยอมรับ source : Lexitron Dictionary [vt.] รับรอง,ยอมรับ,รับว่า source : Nontri Dictionary

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 2 การลำดับการนำเสนอ (Sequencing)

- First, I'd like to talk about ... - I'll begin by (v. + ing) - Let's start with ... - Now, I'd like to move on to ... - Now, turning to ... - Let me now move on to ... - Now, let's look at ... - Next, let me describe/explain/etc. ... - My next point is ... - First ... . Second ... . Third ... . - The first ... . The second ... . the third ... . - First ... . Next ... . Then ... . After that ... . Finally ... . - One ... . Another ... . The other ... . - (In conclusion / In summary), (we can say ... / I've explained ... / I've talked about ...) - That completes my overview of ... - So, to conclude, ... - Finally, ... - I therefore recommend ...

STREET ENGLISH - หน้าม้าชัวร์ๆ กูไม่เชื่อ!!

1 ชอบดูมายากลไหมครับ คนหลายคนก็ต้องชอบดูอยู่แล้ว เพราะมันมีไว้เพื่อบันเทิงให้เราอึ้ง.. ทึ่ง.. เสียว... สยิว.. ผมเองก็ชอบดู แต่ชอบดูพวกที่ใช้ฝีมือในการแสดง ---------------------------------------- 2 เมื่อตอนผมยังเด็ก ผมเคยบ้าอยากหัดเลยแหละ ถึงขั้น ไปหาสมาคมมายากลแห่งประเทศไทย เพื่อไปขอเรียนขอรู้ ว่าเขาทำได้ยังไง ทำให้รู้ว่า หลายกลที่เคยเห็นที่เราคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ พอรู้ว่ามันเป็นยังไงก็บางอ้อว่ามันเป็นอย่างนี้เอง แต่ถึงรู้ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้เลยนะครับ ต้องฝึกหนักแบบโคตรยากจริงๆอ่ะ แบบถึงรู้ก็รู้เหอะ แต่ฝึกยังไงก็ทำไม่ได้ซะที เพราะ มันบางกลมันเป็นความสามารถจริงๆ ไม่เกี่ยวกับอุปกรณ์ อย่างเช่น ผมเคยเจออาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเชี่ยวชาญทางไพ่โดยเฉพาะ แกเล่นเก่งมากๆจริงๆ แบบว่านี่มันเป็นการโกงพนันเลยนี่หว่า อยากได้ป๊อกเหรอ จัดให้ จะไปยากอะไร แต่มือไวจริงๆวะ พวกนี้ต้องเล่นจิตวิทยามาหลอกล่อสายตาคนดู ---------------------------------------------- 3. มายากลที่เอามาใช้ในทางที่ผิดนี่ก็มี ผมจำได้ ตอนผมไปเที่ยวสเปน บนถนนหนึ่งใน บาเซโลน่า มันใช้กล่องไม้ขีด 3 กล่อง สลับไอ้กระดาษก้อนกลมๆทีเอามาขยำๆ แค่เนี่ย คนมุงดูกัน ผมคนไทยก็มีสายเลือดไทยมุงบ้าง ไอ้คนเล่นหันมาเห็นหน้าเอเชียๆอย่างผม ก็ท้าผมเลย เล่นดิเอาไหม ให้คนอื่นทายก่อนว่าผิดไปอันหนึ่งแล้ว เหลือ 2 อัน ยูจะทายไหม ผมบอกไม่เอาๆ ไม่ได้พกตังยูโรตอนนั้น กูมีแต่แบงค์ 50 บาท มันก็ยังจะเอาครับ (มึงหารู้ไม่ว่า ค่ามันน้อยกว่า ยูโรบ้านมึงอีก) แล้วก็เป็นไปตามคาด ผมทายผิด ในใจคิดอยู่แล้ว มึงโกงแน่ๆ แล้วผมก็รีบหนี ก่อนมันจะปล้นผมมากกว่านี้ ------------------------------------------------------- 4 ผมคิดว่า ไอ้พวกที่ไปยืนดู ยืนเล่นตรงนั้น มันเป็นหน้าม้าชวร์ๆ ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่ก็ต้องมีแน่ๆ เพราะมันคือ Claque คำนี้อ่านว่า คลัคค นะ หรือ Shill และ Decoy พวกที่มีหน้าที่เป็นหน้าม้า เพื่อชวนเชื่อคนให้คล้อยตาม บางทีตามที่ขายของขายบริการก็แอบมีบ้างเพื่อให้พวกลูกค้าจริงเห็นว่า คนอื่นเขายังชอบเลย แสดงว่าสินค้า (หรือ น้องเขา) ดีจริงๆนะ เช่น The TV claque applauded loudly on cue หน้าม้าในรายการทีวีปรมมือตามคิว --------------------------------------- 5 เขียนมาตั้งยาว เพื่อสอนสามคำแค่นี้เหรอ? ป.ล. ผมไม่เห็นชอบดู คริส แองเจิล เลย ดูยังไงก็ เป็นไปได้!! หน้าม้าชัวร์!! กูไม่เชื่อ!!

STREET ENGLISH - ภาษาวัยรุ่นอเมริกันเมื่อเห็นด้วย

1 ไม่รู้ว่ามันมีที่มาจากไหนนะ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ติดตามวัยรุ่นฝรั่งเขาอยู่บ้างว่า เด็ก(มะกัน) สมัยนี้ มันเป็นยังไงบ้าง เพราะเด็กพวกนี้ก็มีแสลงของพวกเขามาใหม่ๆ แล้ว แหม ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพลงไทยก็ใส่คำพวกนี้มาด้วย เพราะเมื่อเช้าได้ยินเพลงไทยเพลงหนึ่ง ผมไม่รู้ชื่อเพลง และไม่แน่ใจว่านักร้องคือใคร ใช่ เฟย์ฟางแก้ว อะไรกลุ่มนั้นหรือเปล่าไม่รู้ ใครรู้ยืนยันให้ด้วย เห็นมีเสียงร้อง เป็นแบคกราวด์อยู่คำหนึ่ง เวิ้ด ๆ ๆ.. อยู่นั่น ไม่รู้เขาหมายถึง Word คำนี้หรือเปล่า นั่นแหละ Word ที่แปลว่าคำ หรือ คำพูดนั่นแหละ +---------------------------------------------+ 2 ผมคิดว่าวัยรุ่นพวกนี้ มันไปวิบัติภาษา มาจากคำว่า What's up? กลายเป็น Word up? แล้วต่อมาก็ใช้แปลว่า Yes หรือ Really แทนได้ด้วย คนอ่าน: Word? จริงเหรอ จขบ: Word. จริงครับ +---------------------------------------------+ 3 นอกจากนี้ คิดว่าวัยรุ่นที่เก่งภาษาฮิพฮอพหลายคน คงจะรู้จักคำๆนี้กันอยู่แล้ว คือคำว่า Fo shizzle (โฟ ชี้ส- เซิ้ล) กับ Fo rizzle คำๆนี้ ก็มาจาก แสลงแบบวัยรุ่นอีกที จากคำว่า For sure กับ For real.. ทั้งหมดนั่น ใช้แทนคำว่า Really? หรือ Yes ได้หมดเลยครับ ถ้าให้เพิ่มความแนวๆ มันมีคำพ้องเสียงที่ใช้แทนคำว่า เพื่อน หรือ เกลอ ด้วยคำว่า Dizzle อีกครับ เช่น Fo shizzle, ma dizzle แน่นอนเลยเพื่อน +---------------------------------------------+ 4 เสริมได้อีก คำนี้ผมก็ได้ยินจากเพลง Dilemma ของ Nelly คือคำว่า Fo sho อ่านว่า โฟ โช ย่อมาจาก For sure ซึ่งก็แปลว่า ใช่ และ จริง เหมือนกัน +---------------------------------------------+ 5 สมัยก่อน ผมก็อยากทำตัวเหมือนเป็นวัยรุ่นกับเขาเหมือนกันนะครับ เวลา จะพูดว่า OK โอเค มันอาจไม่แนวเท่าไหร่ ผมเลยติดพูดคำว่า Aight แทน เป็นการรวมคำว่า All right มาให้กลายเป็นพยางค์เดียวแบบนี้ มันจะ แนวๆ สำหรับวัยรุ่นเลย +---------------------------------------------+ 6 เขียนเอนทรี่ ก็หวนรำลึกเมื่อสมัยเป็นนศ.เอแบค ชอบโดนครูภาษาอังกฤษคนหนึ่ง ติประจำ ไม่ให้พูดว่า Yep หรือ Yup และ Yeah แทนคำว่า Yes หรือ Nope, Nye แทนคำว่า No ครูแก จะหันมาเน้น บอกให้พูด Yes และ No ให้ถูกต้องด้วย ครูคนอื่นไม่เห็นเรื่องมากแบบแกเลย จริงไหม? Word?

คำศัพท์ - ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆ

1) อินเทรนด์ (in trend) -คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งไม่ใช้คำว่า "in trend" -เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" -เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย -หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable. ก็ได้ 2) เว่อร์ (over) -เช่น She is over. ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ -พูดเกินจริง ใช้คำว่า "exaggerate" เป็น v. อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท -เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. -อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่า Don't exaggerate. -ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" -เช่น You're overacting. เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง) 3) เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี s ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ 4) นักศึกษาปี 1 คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "freshman" เช่น He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี 1 ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี 2 เราเรียก a sophomore, ปี 3 เรียกว่า a junior และ ปี 4 เรียกว่า a senior 5) record คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์ 6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่งได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึง ต่างคนต่างจ่าย ให้ใช้ว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ) เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า "It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me." หรือ "All is on me." หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time." 7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?" จะดีกว่าครับ 8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) ถ้าคุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

12 a.m. นี่มันเที่ยงวัน หรือ เที่ยงคืนกันแน่?

12 a.m. คือ เที่ยงคืน ครับ ส่วน 12 p.m. คือ เที่ยงวัน หลักง่าย ๆ ก็คือ 1 วันมี่ 24 ชั่วโมง ช่วงเวลา 12 ชั่วโมงแรกตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึง 11 โมงเช้า 59 นาที ใช้ตัวย่อ a.m. แต่ช่วงเวลา 12 ชั่วโมงที่เหลือคือหลังเที่ยงวันไปจนถึง 5 ทุ่ม 59 นาที ใช้ตัวย่อ p.m. p.m. จากภาษาละติน post meridiem หรือภาษาอังกฤษ afternoon แปลว่า หลังเทียงวัน, ตอนบ่าย a.m. จากภาษาละติน Ante meridiem แปลว่า เวลาก่อนเที่ยง

สนทนาภาษาแชท สงสัยไหมอะไรคือ lol, brb ttyl?

A AAK Asleep at the keyboard หลับหน้าเครื่องอยู่ AAR8 At any rate เท่าไหร่ก็ได้ AFK Away from computer keyboard (ตอนนี้ไม่ได้อยู่หน้าเครื่อง ASAP As soon as possible เร็วสุดเท่าที่เร็วได้ A/S/L Age/Sex/Location อายุ/เพศ/อยู่ที่ไหน ATM At the moment ในตอนนี้ ATW Around the web รอบโลก ------------------------------------------------------------------------------------- B B Back กลับมาแล้ว B4N Bye for now ไปก่อนหละ BBS Be back soon เดี๋ยวมานะ BC Because เพราะว่า BCNU Be seein' you เจอกัน BF Boyfriend แฟนผู้ชาย BFN/B4N Bye for now ไปก่อนนะ BG Big grin (ยิ้มอยู่) BIL Boss is listening (เจ้านายแอบดูอยู่นะ) BMG Be my guest เธอก่อนเลย BOTOH But on the other hand แต่ในทางกลับกัน BRB Be right back แปปนึง เดี๋ยวมา BTDT Been there, done that ไปมาแล้วทำแล้ว BTW By the way เออ ลืมไป.. BYKT But you knew that เธอก็รู้นี่ ------------------------------------------------------------------------------------- C COZ Because เพราะว่า CU See you แล้วเจอกัน CUL or CUL8R See you later แล้วเจอกัน ------------------------------------------------------------------------------------- D DQMOT Don't quote me on this อย่ามาพูดตามนะ ------------------------------------------------------------------------------------- E EOM End of message จบข่าว EZ Easy ง่าย EG Evil Grin (เหอๆๆ ฮึๆๆ) ------------------------------------------------------------------------------------- F F2F Face to face เจอกันต่อหน้า F2T Free to talk คุยได้ FAQ Frequently asked questions คำถามที่ถามบ่อย ------------------------------------------------------------------------------------- G G2G Got to go ต้องไปแล้วนะ GAL Get a life GF Girlfriend แฟนผู้หญิง GGN Gotta go now ไปแล้วนะ GJ Good job ทำได้ดีมาก! GL Good luck โชคดีนะ GOL Giggle out loud อิอิ คิกคิก หึๆ GR8 Great เยี่ยม! GRT Great เยี่ยม! GTG Got to go ต้องไปแล้วนะ GW Good work ทำได้ดีมาก ------------------------------------------------------------------------------------- H H8 Hate I H8 U ฉันเกลียดแก!! HAK Hugs and kisses กอดๆ จุ๊บๆๆๆ HAND Have a nice day โชคดีนะ ------------------------------------------------------------------------------------- I IAC In any case เผื่อว่า IC I see อืม เข้าใจ IDC I don't care ไม่แคร์ IDK I don't know ไม่รู้สิ ILY I love you ไอ เลิฟ ยู IM Instant Message IMHO In my humble opinion อย่าว่ากันนะ ฉันว่า.. IMO In my opinion ฉันว่า... IMPOV In my point of view ฉันว่า.... IOW In other words พูดอีกอย่างก็.. IRL In real life ในชีวิตจริง ------------------------------------------------------------------------------------- J JIC Just in case เผื่อไว้ JK Just kidding ล้อเล่นน่า.. JTLYK Just to let you know แค่บอกให้รู้ไว้ ------------------------------------------------------------------------------------- K K Okay โอเค KIS Keep it simple เอาง่ายๆ KIT Keep in touch ติดต่อกันอีกนะ ------------------------------------------------------------------------------------- L L8 Late สาย L8R Later บาย เจอกันใหม่ LBH Let's be honest ใจจริงนะ LMAO Laughing my ass off ก้ากๆๆ ฮาๆๆ LOL Laughing out loud 555 ฮ่าๆๆๆ ------------------------------------------------------------------------------------- M MIRL Meet in real life เจอกันจริงๆ MorF Male or Female ชาย หรือ หญิง? MOS Mom over shoulder แม่มองอยู่ ------------------------------------------------------------------------------------- N NE Any (ใช้ได้เยอะ เช่น neway คือ anyway) NBD No big deal ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน่า NMU Not much, you? เฉยๆ เธอละ NP No problem ไม่มีปัญหา เรื่องเล็ก Noob "Newbie" มือใหม่ (อ่อนๆ) NVM Never mind ไม่เป็นไร ช่างเหอะๆ ------------------------------------------------------------------------------------- O OIC Oh, I see อืมๆ เข้าใจแล้ว OMG Oh my god พระเจ้า จอร์จจจ OTP On the phone คุยโทรศัพท์อยู่ ------------------------------------------------------------------------------------ P PAW Parents are watching พ่อแม่ดูอยู่ PCM Please call me โทรมาหานะ PIR Parent in room พ่อแม่อยู่ PLS Please นะๆๆๆ PLZ Please นะๆๆๆ ได้โปรด ------------------------------------------------------------------------------------ Q Q Question ------------------------------------------------------------------------------------ R ROTFL Rolling on the floor laughing ก๊ากๆๆ ขำกลิ้ง RL Real life ชีวิตจริง RSN Real soon now ใกล้แระ RUOK? Are you okay? เธอโอเคมั๊ย ------------------------------------------------------------------------------------ S SIT Stay in touch ติดต่อกันนะ SOZ, SRY Sorry ขอโทษที SYS See you soon แล้วเจอกัน S2R Send to receive ส่งไฟล์ ------------------------------------------------------------------------------------ T TAFN That's all for now มีแค่นี้แหละ THX Thanks ขอบใจจ้า TIA Thanks in advance ขอบคุณล่วงหน้า TMB Text me back ตอบด้วย TOY Thinking of you คิดถึงเธอจัง TTYL Talk to you later แล้วคุยกันใหม่นะ TY Thank you ------------------------------------------------------------------------------------ U U You เธอ U2 You too แล้วเธอหละ ------------------------------------------------------------------------------------ W WB Welcome back ต้อนรับกลับมาจ้า W/E Whatever ช่างเหอะ ตามใจ WFM Works for me ของฉันได้ผลนะ WTG Way to go เอาเลย! WTH What the hell? ไรว่ะเนี่ย WTF What the F*** เชี้ยไรว่ะ WU What's up? ไง วอซ อัพๆ WYGOWM Will you go out with me? ไปเที่ยวกันมะ ------------------------------------------------------------------------------------ X XOXO Hugs and kisses กอดๆๆ จุ๊บๆๆๆๆ ------------------------------------------------------------------------------------ Y Y Why ทำไมหละ YT? You there? อยู่เปล่า YW You are welcome ไม่เป็นไร ยินดีจ้า ------------------------------------------------------------------------------------ Z ZZZ Tired or bored คล่อก....ฟี้~

คำว่า according to / regarding / concerning แปลว่าอะไรครับ และรูปแบบการใช้ จะใช้อย่างไรครับ

ANDREW BIG: according to แปลว่า ตาม แต่ต้องอธิบายมากกว่านี้อีกคือ ถ้าเป็น according to ตามด้วยชื่อคนหรือแหล่งข่าว ความหมายก็คือ ตามที่คนนั้นพูดหรือสั่งหรืออ้าง เช่น - Kanok is very talented, according to his mother. (กนกเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในความคิดของคุณแม่เขา) - According to today's newspaper, Somcheng won first prize in the lottery.(ตามข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์วันนี้ ส้มเช้งถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง) - You must work according to the manual. (คุณต้องทำงานตามกฎที่อยู่ในคู่มือทำงาน) ------------------------------------------ according to แปลว่า "ตามที่... กล่าวไว้" เช่น - According to the Bible, God made the world in six days. - According to the teacher, the exam is going to be difficult. according to ... ยังหมายถึง "ตาม" เช่น - He will be punished according to the seriousness of the crime. เขาจะถูกลงโทษ ตามความรุนแรงของอาชญากรรม - You will be paid according to the amount of work you do. คุณจะได้รับค่าตอบแทน ตามจำนวนผลงานที่คุณทำ - Everything went according to plan, and we arrived on time. ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และเราก็ถึงตรงเวลา ส่วน regarding หรือ concerning ไม่ต้องมี to นะครับ (แปลว่า "เกี่ยวกับ..., ในเรื่อง...") - He refused to answer any questions concerning his private life. - Regarding your recent inquiry, I have enclosed a copy of our new brochure. ส่วน with regard to หรือ with respect to นี่มี to ครับ (แปลว่า "เกี่ยวกับ..., ในเรื่อง...") - US foreign policy with regard to Cuba -------------------------------------------------- ตัวอย่างเพิ่มเติม 1. "Regarding the new computer software I just installed, last night it wouldn't open at all. However, according to the salesman, the software is supposed to work fine." 1. (เกี่ยวกับ) ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่ผมติดตั้งไปหมาดๆ เมื่อคืนเปิดกี่ทีๆ ก็ไม่ยอมขึ้นมา แต่ว่าจากที่พนักงานขายบอกมา ซอฟต์แวร์น่าจะทำงานได้ไม่มีปัญหา ในประโยคนี้จะเห็นว่า ถ้าเป็นภาษาไทยเรามักจะละคำว่า "เกี่ยวกับ (Regarding)" เอาไว้ในฐานที่เข้าใจ 2. "With regard to the new software I just installed, the program kept crashing all last night. According to the owner's manual, I installed it correctly. So why does it keep crashing on me?" 2. (เกี่ยวกับ) ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่ผมเพิ่งจะติดตั้งไปหมดๆ เมื่อคืนมันเอาแต่แฮงก์ทั้งคืน แต่ดูจากคู่มือแล้วผมได้ติดตั้งอย่างถูกต้องแล้วนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้เดี้ยงตลอดเลยล่ะ? 3. "As for the new software I just installed, last night I couldn't get the program to even open. I called the tech today, according to him, I didn't install the program correctly." 3. (เกี่ยวกับ) ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่ผมเพิ่งติดตั้งไปหมาดๆ เมื่อคืนผมเปิดมันไม่ขึ้นเลย ผมลองโทรหาเจ้าหน้าที่แล้ววันนี้ เขาบอกว่าผมติดตั้งโปรแกรมไม่ถูกต้อง ในประโยคนี้จะเห็นว่า พอมาเป็นภาษาไทยแล้ว แม้แต่คำว่า According to เราก็อาจละในฐานที่เข้าใจได้ การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย บางครั้งเราก็แปลทุกคำ ทุกความหมายเป๊ะๆ ไม่ได้ครับ เพราะวัฒนธรรม และรูปแบบการใช้ภาษาของไทยและอังกฤษไม่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ต้องจำไว้ให้มั่นครับ

Accept / Except

Accept Accept is a verb that means "to receive, admit, regard as true, say yes." I can't accept this gift. He was accepted to Harvard. Do you accept this theory? My offer was immediately accepted. He asked me to marry him, and I accepted. The noun acceptance refers to the "act or process of accepting, approval, or agreement." Except Except is a preposition that means "excluding." He bought a gift for everyone except me. I know everyone here except the children. Except is also a conjunction that means "if not for the fact that" or "other than." I would help you, except I'm too busy. He never calls me except to borrow money. Except is a fairly uncommon verb that means "to leave out, exclude." I hate lawyers, present company excepted. Children are excepted from these rules. The noun exception means "exclusion" or "one that is excepted." The Bottom Line The confusion between accept and except is due to their somewhat similar spelling and pronunciation. In fact, it's rather strange that they do get confused, because the meaning of accept and the meaning of except when used as a verb are more or less opposites. In the majority of situations, when you want to use a verb, that verb is accept. Except is rarely used as a verb, but when it is, it means "to leave out" not "to receive or agree to."

คำศัพท์ / ประโยคที่ใช้ในการเขียนอีเมล

According to (Prep)1 ความหมาย/การใช้: ตามที่, ตามรายงาน, ใช้ในเมื่อขึ้นต้นประโยคในการกล่าวอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ตามหลังคำนี้ต้องเป็นคำนามหรือประโยคเท่านั้น According to + N or clause ตัวอย่าง 1-According to our records, you owe us $130. ----------------------------------------------- According to (Prep)2 ความหมาย: ตามวิีธีนั้น ตามที่ควรจะเป็น ตามอย่างที่มันเป็น ตามหลังคำนี้ต้องเป็นคำนามหรือประโยคเท่านั้น According to + N or clause ตัวอย่าง 1-Students are all put in different groups according to their ability. ----------------------------------------------- Accordingly(adv) ความหมาย: ตามนั้น ตามที่กำหนดไว้ ตามที่ว่ามา ใช้เป็น adverb ในการขยายคำกริยาหลัก ตัวอย่าง 1-When we receive your instructions we shall act accordingly. 2-She's an expert in her field, and is paid accordingly. ----------------------------------------------- in accordance with ความหมาย: ใช้เหมือน according to ตัวอย่าง 1-Everything should be done in accordance with the rules. 2-You must act in accordance with the rules. 3-I will sell the boat in accordance with your orders. ----------------------------------------------- in order to in order that ความหมาย: เพื่อว่า เพื่อทีจะ ตามหลังคำนี้ต้องเป็นคำกริยาเท่านั้น in order to + V1, in order that + sentence ตัวอย่าง 1-He came home early in order to see the children before they went to bed. 2-I agreed to her suggestion in order not to upset her. ----------------------------------------------- To whom it may concern ความหมาย: ใช้ในการขึ้นต้นหัวอีเมลล์เมื่อคุณไมู่้รู้ชื่อผู้ที่เราจะส่งแน่ชัดหรือ เราแค่ต้องการส่งให้คนที่อาจจะเกี่ยวข้องในเรื่องที่เราจะ ส่งให้เขา แปลว่่า ถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ----------------------------------------------- concerned(adj) ความหมาย: กังวล ใช้เหมือนกับ worried การใช้ตามหลังคำนี้สามารถตามด้วย about/that/for/to concered about/for + N concered that + sentence concered to + V1 ตัวอย่าง 1-I'm a bit concerned about/for your health. 2-Aren't you concerned (that) she might tell someone? 3-He was concerned to hear that two of his trusted workers were leaving. ----------------------------------------------- following(prep) ความหมาย: หลังจากนั้น ใช้เหมือน after ตามหลังคำนี้ต้องเป็นคำนาม ตัวอย่าง 1-The weeks following the riots were extremely tense. 2-Following the dinner, there will be a dance. ----------------------------------------------- following(adj) ความหมาย: ที่ตามมา คำนี้จะอยู่หน้าคำนามเสมอ ตัวอย่าง 1-We will have the meeting again on the following day. ----------------------------------------------- following(n) ความหมาย: ใช้ในการเกริ่นสิ่งที่จะกล่าวต่ไป แปลว่า ส่ิงที่จะกล่่าวต่อไปนี้คือ หรือ ต่อไปนี้จะเป็น ตัวอย่าง 1-The following is the details of the project. ----------------------------------------------- as follows ความหมาย: ใช้ในการอธิบายรายการจากประธานของประโยค ตัวอย่าง 1-The winners are as follows - Woods, Smith and Cassidy. ----------------------------------------------- apologise/apologize(v) ความหมาย: ขอโทษสิ่งที่เราทำให้คนอื่นเดือนร้อน apologise + to someone + for apologise + for + N ตัวอย่าง 1-I must apologize to Isobel for my lateness. 2 -Trains may be subject to delay on the northern line - we apologize for any inconvenience caused. 3 -She apologized profusely for having to leave at 3.30 p.m. ----------------------------------------------- look forward to sth ความหมาย: รอคอยด้วยความยินดี ด้วยความตื่นเต้น ตัวอย่าง 1-I'm really looking forward to my holiday. 2-She was looking forward to seeing the grandchildren again. 3-I'm not looking forward to Christmas this year. ----------------------------------------------- look forward to + Ving ความหมาย: ใช้ในการลงท้ายจดหมาย ตัวอย่าง 1-I look forward to hearing from you. 2-In the circumstances, I look forward to receiving your client's cheque for the sum of ?570 within the next seven days. ----------------------------------------------- ประโยคอื่นๆ Please find attached my report. โปรดดูรายงานของผมจากไฟล์แนบ Do not hesitate to contact me if you require any further information. อย่าลังเลที่จะติดต่อผมถ้าคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม If you could reply ASAP I would be most grateful. FYI = For You Information

Addition / Edition

Addition Addition refers to something that is added. Are you good at addition? What's 754 plus 988? He bought a car in addition to the truck he got last week. The new addition on their house cost over fifty thousand dollars. Edition Edition refers to something that is edited/published. The new edition of the book will be published next month. Do you prefer the daily or weekly edition of the news? He gave me a first edition of Alice in Wonderland. The Bottom Line The confusion between addition and edition is due to their somewhat similar spelling and pronunciation. Their meanings, however, are completely unrelated. Addition has to do with adding, while edition has to do with editing/publishing.

Affect / Effect

Affect Affect is a verb with several different meanings. 1. To have an influence on, contribute to a change in What you do affects all of us This decision will affect the outcome of the elections Inflation is affected by natural disasters 2. To touch, move; to act on the emotions of I was profoundly affected by this movie His actions were not affected by her pleas 3. To simulate He likes to affect a British accent She always affected her eccentricity In psychology, affect is a noun which refers to a "feeling" or "emotion": Your son's lack of affect explains why you find it difficult to gauge his moods. Effect Effect is most commonly used as a noun, and has three meanings. 1. Result, something brought about by someone or something What was the effect of her decision? Side effects include nausea and fatigue I don't think it will have any effect on the outcome The law will go into effect tomorrow You can clearly see the cause and effect 2. Something that gives the impression/sense of something else The special effects were amazing Mirrors will give the effect of a larger space He said that just for effect 3. Effects can refer to belongings Did you bring any personal effects? As a verb, to effect means "to bring about, lead to a result" The only way to effect change is to participate What is the best way to effect these improvements? This should effect a whole new way of thinking about it The Bottom Line The confusion between affect and effect comes out of the fact that affecting something leads to an effect. The two questions "How were you affected?" and "What was the effect on you?" mean almost exactly the same thing. When you want to use one of these words as a noun, the one you want is probably effect. When you want a verb, most of the time you want affect. Effect is used as a verb only when it has a direct object and only when you mean "to bring about, lead to." The difference between to affect and to effect can be seen here: To affect the results - To influence, have an impact on the results To effect the results - To bring about, lead to the (desired) results

All together / Altogether

All together All together means everyone or everything together. It's time to sing. All together now! The last time we were all together was in 1999 Put the bills all together on the desk If the two terms can be separated, that's a dead giveaway that the term you want is all together. It's time for all of us to sing together now! The last time all of us were together was in 1999 Put all the bills together on the desk Altogether Altogether is an adverb and means "all in all," "all told," or "completely." That was altogether too difficult Altogether, not a bad day's work It cost over a thousand dollars altogether The Bottom Line If you can replace the term with something like "completely" or "when all is said and done," you are altogether better off with altogether. If you can rewrite the sentence to use all and together separately, the term you want is all together.

American and British English -1

American and British English - เคยไหมครับ ที่เรามักจะพบศัพท์ภาษาอังกฤษสองแบบคือ อังกฤษแบบอเมริกัน และอังกฤษแบบอังกฤษ - คำไหนเป็นภาษาอังกฤษ คำไหนเป็นแบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีเยอะเหมือนกันนะครับ ตัวอย่าง อังกฤษแบบอเมริกัน --- อังกฤษ แบบอังกฤษ Airplane Aeroplane Apartment flat, apartment Check / bill bill (ในร้านอาหาร) Crazy mad (บ้า) Doctor's office doctor's surgery Movie film One-way (เกี่ยวกับตั๋ว) single (เกี่ยวกับตั๋ว เที่ยวเดียว) Parking lot (ที่จอดรถ) car park Railroad Railway Rest room, bathroom (public) toilet (ห้องน้ำ ห้องส้วม) Store, shop shop Subway underground รถไฟใต้ดิน Vacation holiday(s) วันหยุด Center centre Check cheque (เช็ค) Color colour สี Liter litre (ลิตร) Meter metre (เมตร) Organize organise Practise, Practice Practise (เป็นกิริยา) Realize realise Skillful skilful Theater theatre Traveler traveller Whiskey (สก๊อต) whisky (ไอริช) whiskey Round trip return (การเดินทาง และการตี๋ตัวกลับ) Highway, freeway main road, motorway ปัจจุบันภาษาอังกฤษแบบอเมริกันค่อนข้างมีอิทธิพลเยอะมาก เช่นในคอมพิวเตอร์เป็นต้นนะครับ บางครั้งเราพิมพ์แบบอังกฤษ ปรากฏว่าในคอมพิวเตอร์ขีดแดง (แสดงว่าไม่ถูก) คือให้เปลี่ยนใช้แบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีอีกเยอะนะครับ นึกออกเพียงเท่านี้ (ที่ค่อนข้างเห็นบ่อย ตอนที่อยู่เมืองไทย)

I am confused (vs) I confuse myself

Are there any difference between "I am confused" and "I confuse myself"? *I am confused* means that something that happened around you made you confused. *I confuse myself* means that something you did made you confused. ---------- "I am confused" means something confused you, e.g. if your teacher is saying something, but you don't understand, you would say this. "I confuse myself" means that you yourself caused your confusion, i.e. if you were explaining something and got lost in what you were saying, you would use this phrase. ---------- Yes, being confused is when you are unsure and don't understand something from any source, but when you cause it yourself, such as performing a strange action then wondering why you did it is confusing yourself

as follow / as follows

Bad: as follow Good: as follows The idiom as follows introduces the answer to an asked or unasked question. It always ends with a colon. The Roman alphabet reads as follows: A, B, C, D.... The song goes as follows: "This land is your land, this land is my land..." The criminal charges were as follows: grand theft auto, first degree murder, and whistling in class

Borrow / Lend / Loan

Borrow Borrow means to take something from someone, with permission and with the intention of giving it back. The past participle is borrowed. Can I borrow the car? You can borrow a pen from him. I need to borrow some money. What happened to the books I borrowed from the library? Lend Lend is just the opposite - it means to give something to something, with the expectation that s/he will return it. The past participle is lent. Yes, I'll lend you the car. He'll be happy to lend you a pen. I can't afford to lend you any money. The library lent me those books three weeks ago. Lend can also be used figuratively, to mean to contribute, impart, or offer: The yellow wall will lend a feeling of warmth. Your story lends itself to numerous interpretations. Loan Loan is a synonym for lend, used by Americans, but only for the concrete meaning (the opposite of borrow), not the figurative one. The past participle is loaned. Yes, I'll loan you the car. He'll be happy to loan you a pen. I can't afford to loan you any money. The library loaned me those books three weeks ago. Loan is also a noun, which indicates whatever object was loaned. I'll have to get a loan to buy this house. The loan of my car was on condition that you fill it with gas. The Bottom Line Borrow means "to take," while lend and loan mean "to give." If you continue to have trouble with this, try substituting "take" for borrow and "give" for lend or loan - the correct word will immediately be clear. You can only borrow something from someone: Loan (or lend) me a pen is correct, "Borrow me a pen" is not. (Just as "give me a pen" is right, but "take me a pen" isn't.)

Borrow vs lend

Borrow vs lend มีคนไทยบางคนนะครับ ยังสับสนกับสองคำนี้อยู่ว่า มันต่างกันอย่างไร borrow หมายถึง ยืม เช่น Can I borrow your some money. ผมพอจะยืมเงินคุณได้ไหม? (ซึ่งเป็นอะไรที่คนไทยชอบยืม) ส่วน Lend หมายถึงให้ยืม ซึ่งพวกโรคจิตชอบใช้ Please lend me your underwear for 3 days. (ลักนั่นแหละ) กรุณาให้ผมยืมลิงคุณสัก 3 วัน Please don't forget to return me my underwear and bra

I look forward to hearing from you

Can I write to "hearing" from you soon or to "hear" from you soon? Which sentence is correct? ตอบ The grammar of this structure is 'to look forward to' + noun/gerund. I am looking forward to the movie tonight. I look forward to hearing from you.

"สำเนาถูกต้อง" ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไร

Certified True Copy

Data are or data is?

Data are or data is? Is it singular or plural? It's a word we use every day here on the Datablog - but are we getting it completely wrong? Most style guides and dictionaries have come to accept the use of the noun data with either singular or plural verbs, and we hereby join the majority. As usage has evolved from the word's origin as the Latin plural of datum, singular verbs now are often used to refer to collections of information: Little data is available to support the conclusions. strictly-speaking, data is a plural term. Ie, if we're following the rules of grammar, we shouldn't write "the data is" or "the data shows" but instead "the data are" or "the data show". Otherwise, generally continue to use the plural: Data are still being collected.

Dear กับ My dear

Dear กับ My dear มีบ่อยครั้ง ที่คนไทย (โดยเฉพาะสาวไทย) เวลาได้รับจดหมายจากฝรั่ง เวลาเห็นคำขึ้นต้นจดหมาย Dear มักจะคิดว่า คำนี้แปลว่า ที่รัก แต่อันที่จริง คำนี้ว่า แปลว่า คุณ......เช่น Dear บุญเปิง คุณบุญเปิง ซึ่งคำนี้มักจะใช้กับคนที่อาวุโสกว่าเรา หรือบ่อยครั้งที่ใช้เขียนจดหมายหาครูอาจารย์มักจะใช้คำว่า Dear sir, Dear Madam, หรือ Dear Roy, ค่อนข้างออกไปทางเคารพ แต่หาก My dear คำหล้า.....คำหล้าที่รัก ซึ่งมักจะใช้กับคนรักมากกว่า ดังนั้นเมื่อเห็น Dear ก็อย่าเพิ่งมอบหัวใจให้กับเขาก่อนนะครับ จนกว่าเขาจะใช้คำว่า My dear หรือ My honey ซึ่งแปลว่า ที่รัก

Do you realize? คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่า

Do you realize? คุณเคยรู้สึกบ้างไหมว่า Do you realize That you have the most beautiful face? Do you realize We're floating in space? Do you realize That happiness makes you cry? เธอเคยรู้บ้างไหม... ว่าใบหน้าของเธอนั้นแสนสวยงาม เธอเคยรู้บ้างไหม... ว่าเราสองกำลังลอยเคว้งอยู่กลางจักรวาล เธอเคยรู้บ้างไหม... ว่าความสุขทำให้เธอเสียน้ำตา Do you realize That everyone you know someday will die? เธอเคยรู้บ้างไหม... ว่าทุกคนที่เธอรู้จัก สักวัน ต้องจากไป And instead of saying all of your good-byes Let them know you realize that life goes fast It's hard to make the good things last You realize the sun doesn't go down It's just an illusion caused by the world spinning round แทนทีจะกล่าวคำบอกลาทั้งหมดออกไป ให้พวกเขารู้เถิด ว่าเธอรู้ดี ชีวิตนี้มันช่างแสนสั้น ยากเหลือเกินที่จะให้สิ่งที่ดีคงอยู่ตลอดไป ให้พวกเขารู้เถิด ว่าพระอาทิตย์จริงๆ แล้วไม่เคยตก เพราะโลกซึ่งหมุนอยู่เท่านั้นที่ทำให้มันลับฟ้าไป Do you realize? เธอเคยรู้บ้างไหม? Do you realize That everyone you know someday will die? เธอเคยรู้บ้างไหม... ว่าทุกคนที่เธอรู้จัก สักวัน ต้องจากไป And instead of saying all of your good-byes Let them know you realize that life goes fast It's hard to make the good things last You realize the sun doesn't go down It's just an illusion caused by the world spinning round แทนทีจะกล่าวคำบอกลาทั้งหมดออกไป ให้พวกเขารู้เถิด ว่าเธอรู้ดี ชีวิตนี้มันช่างแสนสั้น ยากเหลือเกินที่จะให้สิ่งที่ดีคงอยู่ตลอดไป ให้พวกเขารู้เถิด ว่าพระอาทิตย์จริงๆ แล้วไม่เคยตก เพราะโลกซึ่งหมุนอยู่เท่านั้นที่ทำให้มันลับฟ้าไป Do you realize That you have the most beautiful face? เธอเคยรู้บ้างไหม... ว่าใบหน้าของเธอนั้นแสนสวยงาม Do you realize? เธอเคยรู้บ้างไหม? ———————————————————- When you realize You want to spend The rest of your life with somebody, You want the rest of our life To start as soon as possible เมื่อคุณตระหนักได้ว่า คุณต้องการที่จะใช้ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตกับใครสักคน คุณจะต้องการให้ช่วงเวลาที่เหลือของเรา เริ่มขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

Either / Neither

Either... Or Either... or is used to offer a choice between two possibilities: Either Mike or Lisa will be there. Either you leave me alone or I will call the police. We should bring either coffee or tea. You can either help us or go to your room. Either can also be followed by (one) of + group of two: Either of us could do it Either one of us could do it Either of you should know Either one of you should know Not... either... or denies both possibilities: I don't think either Mike or Lisa will be there. He doesn't speak either English or French. Not... either is used after a negative statement. I don't speak French. You don't either. He isn't ready to go. We aren't either. Neither... nor Neither... nor is equivalent to not... either... or. Neither Mike nor Lisa will be there. He speaks neither English nor French. We brought neither coffee nor tea. I will neither help you nor go to my room. Neither can also be followed by (one) of + group of two: Neither of them is ready. Neither one of them is ready. Neither of us has any money. Neither one of us has any money. Neither is used like not... either. I don't speak French. Neither do I. (informal): Me neither. He isn't ready to go. Neither are we. The Bottom Line Either means one, neither means none, and not either equals neither. Or goes with either and nor goes with neither.

Embedded questions

Embedded questions are questions within another statement or question. They function as noun clauses and as such should generally follow statement, not question, order. What time is it? (question order) I know what time is it. (Incorrect) I know what time it is. (Statement order: S+ V) Where did she go? (Question) I don't know where did she go. (Incorrect) I don't know where she went. (Correct) What does he do for a living? (Question) I wonder what does he do. (Incorrect) I wonder what he does. (Correct) Who is she? (Question) Can you tell me who is she? (Incorrect) Can you tell me who she is? (Correct) -------------------------------- When using adjectives as complements, it is okay to use question order for embedded questions: Who's hungry? (Question) I wonder who is hungry. (Okay)

การใช้ even

Even ( ออกเสียงว่า อี - เฟ็น ) มี 4 ความหมายหลัก คือ สม่ำเสมอ ราบ เลขคู่ กับ แม้แต่/ขนาด ขอยกตัวอย่างแต่ละความหมายครับ คือ The scores are even. ( แต้มเสมอ ) Kanok's new haircut isn't even. The left side is longer than the right side. ( ทรงผมใหม่ของกนกไม่เท่ากัน ฝั่งซ้ายยาวกว่าฝั่งขวา ) 1,245,768,934 is an even number. (1,245,768,934 เป็นเลขคู่ ) Even the janitor says you're a bad worker. ( แม้แต่ภารโรงยังบอกว่าคุณเป็นพนักงานที่แย่มาก ) Even my cat hates you. ( แม้แต่/ขนาดแมวของผมยังเกลียดคุณ ) Even though it's raining, I'm still going running. ( ถึงแม้ว่าฝนตก แต่ผมก็จะยังไปวิ่งออกกำลังกาย ) Even if you win the lottery, I still won't marry you. ( ถึงแม้ว่าคุณจะถูกหวยก็ตามแต่ฉันยังคงไม่แต่งงานกับคุณ ) ------------------------------------ even ที่ใช้กันบ่อยๆ จะแปลว่า แม้ว่า แม้แต่ เช่น Even if the sun refused to shine, there will still be you and me ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์ปฏิเสธที่ฉายแสง แต่ยังไงก็ยังมีเธอกับฉันอยู่คู่กัน (หวานซ้า มาจากเนื้อเพลงค่ะ) Even the frog still looks better than you! แม้แต่กบยังดูดีกว่าแกเลย! (เป็นใครโดนด่าแบบนี้ มีเคืองแน่) หลักการใช้ สามารถใช้ขึ้นต้นประโยคอย่างที่ยกตัวอย่าง ไป แต่จริงๆแล้ว even เป็น adverb ดังนั้น คำขยาย verb ก็ต้องนำหน้า verb ค่ะ เช่น I even found a piece of pizza on his bed. แถมฉันยังเจอพิซซ่าบนเตียงนอนของเขาอีกด้ว ย (ท่าทางจะโต้รุ่งหนักไปหน่อย 555) ---------------------------------------------- เห็นถามกันว่าเยอะว่า Even เนี่ย แปลว่าอะไร เห็นตามประโยคแล้วแปลไม่ออก แปลแล้วไม่เก็ต ใช้ยังไงกันเนี่ย? วันนี้อาศัยยามว่างมานั่งอธิบายกัน ก่อนอื่น ขอเริ่มที่ความหมายจริง ๆ ของ Even กันก่อนละกัน Even นั้นความหมายดั้งเดิมคือ "คู่" เช่น even number = เลขคู่ ส่วนเลขคี่เค้าเรียก odd number แต่อันนี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ Even ที่เรามักเห็นตามประโยคมากกว่า มันหมายความเยี่ยงไร? even หมายถึง "ด้วยซ้ำ" ลองนึกเหตุการณ์แบบว่าไปปาร์ตี้เพื่อน แล้ววันรุ่งขึ้นเพื่อนแซวว่า "แหม ๆ เมื่อคืนอารมณ์ดี เมาใหญ่เลยน้า" เราอาจจะพูดว่า I wasn't even tipsy. (ชั้นไม่มึน..ด้วยซ้ำ..) - เหตุการณ์นี้ให้อ่านรูปเอาละกันครับ T_T -- > I wasn't even at home. (ตูไม่ได้อยู่บ้าน...ด้วยซ้ำ...) หรือในเหตุการณ์ที่เพื่อนคาดคั้นบางสิ่งบางอย่างจากเรา คิดว่าเรามีอะไรซ่อนเร้น แต่เราไม่รู้และไม่มีอะไรในก่อไผ่จริง ๆ ก็สามารถพูดได้ว่า I don't even know what you're talking about. (ชั้นไม่รู้..ด้วยซ้ำ..ว่าแกกำลังพูดเรื่องอะไร) ================================== even หมายถึง "แม้แต่ / แม้กระทั่ง / ขนาด" Be honest! Even a dog can do it, why can't you do it? (ซื่อสัตย์หน่อยสิ ..ขนาด..หมามันยังทำได้เลย ทำไมเธอจะทำไม่ได้?) Come on! Even people like me can do it, so you can do it too. (ไม่เอาน่า ..ขนาด..คนอย่างชั้นยังทำได้เลย แกก็ต้องทำได้แหละ) - อาจอยู่ในสถานการณ์ที่ว่า เพื่อนเครียดกลัวทำข้อสอบไม่ผ่าน เลยพูดระบายใส่เพื่อน เพื่อนจึงพูดปลอบใจไปแบบนั้น =================================== ถึงแม้ว่า (Even though) คำนี้จะมาเป็นคู่ คงต้องท่องกันหน่อยนั่นคือ Even though ครับ ตัวอย่างเช่น Even though it is raining so hard outside, I don't care at all. (ถึงแม้ว่าฝนจะตกหนักมากข้างนอก แต่ชั้นไม่แคร์เลย) You should eat vagetables, even though you don't like it much. (ควรกินผักนะ ถึงแม้จะไม่ชอบมันมากนัก)

Follow up, follow-up, followup

Follow up, follow-up, followup Follow-up and followup are different spellings of the same word. The hyphenated form is more common, but the unhyphenated form is gaining ground. In either form, it works only as a noun or an adjective. When you need a verb, make it two words—follow up. For example, you might email a colleague to follow up on an earlier exchange, and your colleague might respond to your followup with a followup question. Examples Follow-up/followup - A follow-up call from the mayor's office asked whether they would host an event. - The G2 is the follow-up to 2008′s G1, the first phone based on Google's Android operating system ... Follow up - If these new cases follow the pattern of previous ones, prosecutors could follow up on regulatory actions with their own complaints. - By half-time Leinster led 13-6 and Munster were in contention to follow up their win against Connacht. - We'll add tweets below throughout the weekend, and follow up with more detail next week.

Good / Well

Good Good is an adjective, which means that it modifies nouns. This is a good movie What a good idea! You speak good English Good can be used with copular verbs (that is, verbs which express a state of being, such as to be, to seem, and to appear), but it is still an adjective modifying a noun, not a verb. This movie is good His ideas are good Your English is good Well Well is an adverb, which means that it modifies verbs, adjectives, and other adverbs. Did the movie do well at the box office? It was a well-defined idea You speak English well Well can be used as an adjective to mean "in good health." You look well I don't feel well The Bottom Line The confusion between good and well comes from their similar meanings, and a general confusion between adjectives and adverbs. Take a moment to think about what the word is modifying: if it's a verb, you'd do well to use well; otherwise, the good choice is good.

Good vs Well

Good vs Well Good เป็น adjective เราใช้ good เมื่อเราต้องการทราบเกี่ยวกับคุณลักษณะของคำนาม เช่น She didn't speak very good English. Her English isn't very good. ส่วน Well เป็น adverb เราใช้เมื่อต้องการทราบบางสิ่ง หรือคุณลักษณะที่เกี่ยวกับกิริยา เช่น She didn''''t speak English very well. If you say "You look good." It means they look attractive. If you say "You look well." It means they look healthy.

I didn't mean to ฉันไม่ได้ตั้งใจ

I didn't mean to I am sorry I hurt your feelings. I didn't mean to. Please forgive what I just said.

I have no more to say

I have no more to say. ผมไม่มีอะไรจะพูดอีก คือไม่รู้จะพูดอะไรอีก ไม่ใช่ I no have to say. ผมไม่รู้จะพูดอะไร จะได้ยินบ่อยๆ กับคำนี้ I no have money. ผมไม่มีตังค์ (ในภาษาอังกฤษมีประโยคค่อนข้างเยอะหากจะบอกว่าไม่มีเงิน แต่ความหมายจะแตกต่างกันไปว่า มีมากหรือมีน้อยแค่ไหน) ฝรั่งบางคนก็ชอบพูดว่า I have no dosh ผมไม่มีตังค์

I'm not get involve เฮ้ย ฉันไม่เกี่ยว in short = กล่าวโดยสรุปว่า../ เอางี้ พูดสั้นๆเลยนะ little by little = ทีละเล็ก ทีละน้อย

I'm not get involve เฮ้ย ฉันไม่เกี่ยว in short = กล่าวโดยสรุปว่า../ เอางี้ พูดสั้นๆเลยนะ little by little = ทีละเล็ก ทีละน้อย

I'm very disappointed you ฉันผิดหวังกับเธอจริงๆ Don't treat me like a child ฉันไม่ใช่เด็กๆนะ Don't argue with me อย่ามาเถียงฉันนะ ฮึฮึ

I'm very disappointed you ฉันผิดหวังกับเธอจริงๆ Don't treat me like a child ฉันไม่ใช่เด็กๆนะ Don't argue with me อย่ามาเถียงฉันนะ ฮึฮึ

fool you หลอกเธอ

If you think I've let you down Tried to fool you There's no need to หากคุณคิดว่าฉันนั้นได้ทำให้คุณต้องผิดหวัง พยายามที่จะหลอกลวงคุณ ไม่มีความต้องการอันใดที่จะทำเช่นนั้น

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 1 การกล่าวนำ (Introduction)

Introduce yourself - (Give the name card) - My name is ..., position ... - Your name is ... , position ... - (shake hand) Nice to meet you / Nice to work with you. - Good morning/afternoon/evening, (ladies and gentlemen / everyone), I'm ชื่อ (from แผนก/บริษัท). - Today, - In my presentation today, - This morning/afternoon, - I'd like to (present / explain / talk about / review) ... - I'm going to (present / explain / talk about / review) ... - what I'd like to (present / explain / talk about / review) is ... - what I'm going to (present / explain / talk about / review) are ... - the (subject / topic) of (my / this) presentation is ... - the presentation will focus on ... - First, I'll give you ... Second, ... Lastly, ... - In the first part I'll ... And then I'll ... - Firstly, I'd like to ... Secondly, we can ... And I'll finish with ... - In the first part of my presentation, I'll describe ... After that, I'll talk about ... Finally, I'll show you ...

On this Monday (vs) this Monday

Is it wrong if I say : " I will be leaving for my home town on this Monday" In my opinion, "on this Monday" is more standard and formal than "this Monday" in this context. I would appreciate your help. Thanks. . . . this Monday. . . . on Monday. "on this Monday" is a tad redundant Yes, but is "On this Monday" grammatically correct or incorrect ? It's OK, but as above mentioned, the other two ways are better style.

ช่วยส่ง...ให้ผมภายในวันนี้ก็ดี - ต้องเขียนอย่างไรครับ

It would be great if you can send it to me today I'd be appreciated if you can send it to me (within) today. ถ้าจะให้สั้นๆ และเราคิดว่าเขาเข้าใจเราดีอยู่แล้วว่าเขาต้องส่งให้เรา... เราก็อาจเขียนแค่ It'd be great if you can send it today. I'd be appreciated if you can send it today. ก็สั้นกระชับดีครับ ที่คุณ Kafaakใช้ I'd be appreciated if... ที่ผ่านมาผมใช้ I'd appreciate it if.... อยากทราบว่าแบบไหนถูกครับ จริงๆ appreciate เนี่ย เป็นกริยาที่เกี่ยวกับความรู้สึกครับ I'd appreciate if = ผมจะขอบคุณถ้า I'd be appreciated if = ผมจะรู้สึกขอบคุณถ้า คำถามก็คือ คุณว่าสองประโยคนี้ให้ความหมายเดียวกันหรือไม่? ผมขอตอบว่าให้ความหมายเดียวกัน แต่ มันมีความแตกต่างกันในแง่ของการสื่อความรู้สึกครับ จริงๆ ถ้าจะพลิกแพลงสุดๆ นะครับ... ถ้าไอ้คนที่เราส่งถึง เขารู้อยู่แก่ใจว่าต้องส่งให้เรา... It'd be great if you can send it by today. (มันจะดีหากคุณสามารถส่งมันได้ในวันนี้) ก็พอแล้ว

It would have been better if คงจะดีกว่านี้ ถ้า...

It would have been better if you hadn't drunk too much last night. คงจะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่ได้ดื่มมากเมื่อคืน (แต่จริง ๆ เมื่อคืนคุณดื่มมาก)

Lay / Lie

Lay Lay is a transitive verb, which means that it must be used with a direct object. The past tense of lay is laid. Please lay the books on the table. I laid the books on the table. Have you ever seen a chicken lay an egg? The chicken just laid two eggs. "Now I lay me down to sleep..." He laid himself down to sleep. Lie Lie is an intransitive verb, which means it cannot have a direct object. The past tense of lie is lay. Lie down next to me. I lay down next to her. I just want to lie in bed all day. Yesterday, he lay in bed all day. Don't lie on the floor! I lay on the floor last week and you didn't say anything. Lie (past participle lied) means to say something untrue. Don't lie to me. He lied about where he got the money. The Bottom Line There are two problems here. One is that lie and lay mean more or less the same thing; it's just that lie is intransitive and lay is transitive. In addition, the past tense of lie is identical to the present tense lay. Just remember that in the present, you lie down/on/in, but you lay something. Once you've got that straight in your head, you just need to work on the past tenses and you'll be all set - no lie!

Linking Verb

Linking Verb ได้แก่ Verb ที่นำมาพูดหรือเขียนต้องตามด้วย noun (หรือ noun equivalent) หรือตามด้วย Adjective, Adverb ทั้งนี้เพื่อช่วยขยายให้ Subject ของประโยคได้ใจความสมบูรณ์ หรือเชื่อมโยงให้ subject กับ quality (คุณลักษณะ) กระชั่นมั่นเข้าด้วยกัน Linking Verb ได้แก่ Verb to be, become, get, grow, look, feel, seem, smell, remain, turn, sound, taste, appear เช่น He is a student. เขาเป็นนักศึกษา I become angry. ฉันโกรธแล้วนะ She get cold. หล่อนเป็นหวัด Marry seems unhappy. ดูเหมือนแมรี่ไม่ความสุขเลย The sky turned pink yesterday. ท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพูเมื่อวานนี้

Loose / Lose

Loose Loose is an adjective, the opposite of tight or contained. My shoes are loose I have a loose tooth There's a dog running loose in the street Lose Lose is a verb that means to suffer the loss of, to miss. I win! You lose! Don't lose your keys I never lose bets The Bottom Line Simple carelessness leads people to write loose when they mean lose. Just remember that lose has one o, and loose has two. Start with loose, lose an o, and what do you get? Lose!

ถ้าคุณจะพูดว่า "สวนลุมอยู่ห่างจาก สยาม 5 กิโลเมตร" เป็นภาษาอังกฤษ คุณจะพูดว่าอย่างไร

Lumpini Park is 5 kilometers from Siam Square.

May be กับ maybe

May be กับ maybe Maybe ตัวนี้ใช้เหมือน perhaps บางที เช่น Maybe the meeting will be cancelled. บางทีการประชุมอาจจะถูกยกเลิกนะ May be ตัวนี้ ใช้เป็น กิริยา เช่น The meeting may be cancelled.การประชุมอาจจะถูกยกเลิก

ถ้าชาวต่างชาติถามคุณว่า "Will not you go to the party tonight?" ถ้าจะตอบว่า "ใช่ ฉันไม่ไป" จะตอบ อย่างไร?

No, I will not. ซึ่งประโยคคำตอบแบบเต็ม ๆ ก็คือ "No, I will not go to the party tonight." แต่ถ้าเราตอบ "Yes." ฝรั่งจะเข้าใจว่า "Yes, I will go to the party tonight." (คืนนี้ฉันจะไปงานเลี้ยงด้วยนะ)

Some folks just ain't got no sense.

Some folks just ain't got no sense. แปลว่า ไอ่คนบางคนเนี่ย มันไม่ได้มีหัวคิดเอาซะเล้ยยยยยย

Stress at Work / Anger management

Stress at Work Workplace stress, with its physical manifestations, is one of the major reasons people miss work. Experts suggest five ways to help lessen the physical effects of stress at work. • Exercise: Make time to get some exercise at least three times a week. This will not only reduce stress, but it can also help you be more productive at work. • Eat right: Have small meals frequently to keep your energy level up. • Get enough rest: Stress tires you out mentally and physically. If you don't sleep enough, you may get sick more easily. • Meditate: If you have a hard time settling down at the end of the day, try meditating. Close your eyes, take in slow, deep breaths, and release. You will feel yourself unwind. • Socialise: Schedule some social time. Just talking with friends for a few minutes in the middle of the day can help you relax and feel better. If you follow these tips, you are sure to feel less stress at work. However, if you are given more work than you can handle, even these solutions may fail. If you feel a high level of stress at work, talk to your supervisor. Perhaps you can reach an agreement about changing your timetable or lessening your workload. ------------------------------------------------------------- Anger Management Anger is not an uncommon emotion. Sometimes it can cause misunderstandings and even violent behaviour. This is why it is important to know how to handle anger. The following suggestions can help: Think about why you are angry: Be honest with yourself about the root of the problem. Try writing in a journal to see what caused the anger and how you can relieve the situation. Exercise: Exercising regularly can help you get rid of stress and clear your head. It helps you to mentally escape from the situation that might be causing your anger. Let go of the anger: Learn the signs of your anger and try to relax when you feel it coming on. Use deep breathing techniques or meditation, or try some yoga poses. Support groups: Find a support group for anger management led by a therapist. Ignoring anger can cause high blood pressure and feelings of isolation. Learning how to handle the anger allows a person to feel these strong emotions without losing control.

Stress out

Stress out ไม่ได้หมายถึง คลายเครียด นะ ไม่ได้เกี่ยวกับการเอาความเครียดออกไปเลย แต่เป็นสำนวนหมายถึง หายใจไม่ออก หรือ เครียด (กังวล) ถ้าเป็นคำคุณศัพท์ จะใช้ว่า stressed out หมายถึง ตึงเครียด หรือ กระวนกระวายใจ เช่น I'm really stressing out about the test next week. ฉันกำลังเครียดมากเกี่ยวกับการสอบในสัปดาห์หน้า ส่วนคำว่า คลายเครียด เราก็ใช้คำง่ายๆ ว่า relax หรือ unwind ก็ได้นะ เช่น My hobby helps me relax. เออ อีกนิดหนึ่ง คำว่า stress เป็นคำนามนับไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นจะเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์ไม่ได้ จะไม่มีคำว่า stresses ถ้าเขียนแบบนี้ล่ะผิดทันทีเลยนะ

Take your time กับ check it out แปลว่าอะไรคะ และใช้ในกรณีไหนบ้าง

Take your time. แปลว่า ตามสบาย ไม่ต้องรีบร้อน เช่น A: Wait a minute. I'll take a shower. รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน B: Go ahead. Take your time. เอาเลย ตามสบายนะ ไม่ต้องรีบ ================================= Check it out. แปลว่า ตรวจดู หรือลองดู เช่น I think the drainage pipe might be clogged. Could you check it out? ผมคิดว่าท่อระบายน้ำอาจจะตันนะ คุณช่วยตรวจสอบดูหน่อยได้ไหมครับ You haven't been to the new disco? It's really cool! You should check it out. เธอยังไม่เคยไปเธ็คใหม่ใช่ไหม มันเจ๋งจริงๆ เธอควรลองไปดูนะ

Than / Then

Than Than is a conjunction used in comparisons: Tom is smarter than Bill. This is more important than you might think. Is she taller than you? Yes, she is taller than I. Technically, you should use the subject pronoun after than (e.g., I), as opposed to the object pronoun (me). However, English speakers commonly use the object pronoun. Then Then has numerous meanings. 1. At that point in time I wasn't ready then. Will you be home at noon? I'll call you then. 2. Next, afterward I went to the store, and then to the bank Do your homework and then go to bed 3. In addition, also, on top of that He told me he was leaving, and then that I owed him money It cost $5,000, and then there's tax too 4. In that case, therefore (often with "if") If you want to go, then you'll have to finish your homework. I'm hungry! Then you should eat. The Bottom Line Than is used only in comparisons, so if you're comparing something use than. If not, then you have to use then. What could be easier than that?

e.g. / i.e.

The Latin abbreviations e.g. and i.e. are commonly used in English, and nearly as commonly mixed up. If this sounds like you, i.e., you are never sure whether to use e.g. or i.e., read through this lesson to learn the difference. e.g. e.g. stands for exempli gratia, which means "for example." Use e.g. to introduce one or more possibilities among many. I like root vegetables, e.g., potatoes. (Potatoes are just one of many types of root vegetables) He wastes his money on junk, e.g. cars that don't run. (He also buys old TVs and VCRs) I'll listen to anything, e.g., country-western, rap, etc. (Country-western and rap are just two of the many types of music that I'll listen to) An easy way to remember what e.g. means is to think of it as standing for "example given." Alternatively, just say "eg" out loud - it sounds just like the first syllable in example. i.e. i.e. stands for id est which means "that is." Use i.e. when what you are introducing is equivalent to or an explanation of what comes before it in the sentence. I like root vegetables; i.e., the ones that grow underground. He wastes his money on junk; i.e., stuff that he will never get around to fixing. I'll listen to anything; i.e., I like any kind of music. Basically, i.e. means "in other words." It's used to reword or provide an alternate explanation. The Bottom Line e.g. and i.e. are both Latin abbreviations. Both introduce additional information, but e.g. offers an example while i.e. explains or rewords. If you can replace the abbreviation with "for example," use e.g. If you can replace it with "in other words" or "that is," use i.e.

Apostrophe s

The apostrophe has two purposes in English: 1.To indicate that one or more letters was dropped in a contraction: it is > it's we are > we're does not > doesn't of the clock > o'clock 2.To indicate possession: a) singular with 's Tom's book Jeannie's idea the girl's toys (toys belong to one girl) b) plural with s' the books' covers my brothers' jobs the girls' toys (toys belong to several girls) The apostrophe should never be used when you are just talking about something that is plural, with no possession. The girl's walked by > The girls walked by My brother's are tall > My brothers are tall Welcome traveler's > Welcome travelers The Bottom Line Just remember that the apostrophe has a purpose: to indicate a contraction or possession. It does not indicate a plural - the letter s does a fine job of that all by itself.

รวมประโยค idioms ใช้บ่อยๆ

The new building is very up-to-date. อาคารใหม่ทันสมัยมาก I am going away on my vacation next week. ผมจะออกเดินทางไปพักผ่อนวันหยุดสัปดาห์หน้า I go to visit her from time to time. ผมไปเยี่ยมเธอเป็นบางครั้งบางคราว He likes to break in on our conversation. เขาชอบขัดจังหวะการสนทนาของเรา You could do it; don't give up too easily. คุณสามารถทำได้ อย่าพึ่งยอมแพ้ง่ายนักสิ When did you get wind of his coming. คุณได้ข่าวเมื่อไรว่าเขาจะมา I want to buy a motor-car but I short of the ready money. ผมต้องการจะซื้อรถยนต์ แต่ผมขาดเงินสด I like to take part in school activities. ผมชอบเข้าร่วมในกิจกรรมของโรงเรียน When did he check out? เขาแจ้งออกจากโรงแรมเมื่อไหร He picked up the book from the floor. เขาเก็บหนังสือขึ้นมาจากพื้น Now I am figuring out my income tax. ขณะนี้ผมกำลังคิดภาษีเงินได้ของผมอยู่ We were all taken in by that swindler. พวกเราถูกโกงโดยคนขี้โกงคนนั้น Look through your notes before the examination. จงศึกษาทบทวนสมุดจดบันทึกของคุณก่อนการสอบ Hold on to my hand while we cross the street. จับมือฉันให้แน่น เวลาเดินข้ามถนน I want you to go over it again. ผมต้องการให้คุณพูดใหม่(ทบทวน)อีกครั้งหนึ่ง He promised to get in touch with me as soon as he returned. เขาสัญญาว่าจะติดต่อกับผมทันทีที่เขากลับ The robbers were forced to give in. โจรถูกบังคับให้ยอมจำนน What do you think of this car? คุณมีความเห็น(คิดถึง จำได้)อะไรเกี่ยวกับรถคันนี้ Look at the house she's bought. She must be well-to-do. มองดูบ้านที่หล่อนซื้อไว้สิ หล่อนต้องเป็นคนร่ำรวยแน่ I run into an old friend the other day. ผมพบปะ(ติดต่อ)เพื่อนเก่าโดยบังเอิญเมื่อวันก่อน He takes after his father in appearance and personality. เขาเหมือนพ่อของเขาทั้งรูปร่างและบุคลิคลักษณะ Don't forget to turn off the light when you leave the room. อย่าลืมปิดไฟเมื่อคุณออกจากห้อง The rich man gave away that table. คนรวยคนนั้นยก(แจกจ่าย)โต๊ะตัวนั้นให้คนอื่น I pull down a lot of money a month. ผมหาเงิน(ทำลาย รื้อ)ได้มากในแต่ละเดือน Have you left off smoking? คุณเลิกสูบบุหรี่แล้วหรือ Don't forget to look in after dinner. อย่าลืมแวะมาเยี่ยมหลังอาหารเย็นนะ I shall take care of the dinner check. ผมจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อเย็น Please take off your hat. กรุณาถอดหมวกของคุณออกด้วยครับ Our car run out of gasoline in the cornor of Silom Road. รถของเราน้ำมันหมดที่หัวมุมถนนสีลม This kind of bird is dying out (die out). นกชนิดนี้กำลังค่อย ๆ หายสาบสูญ(สูญพันธ์)ไป After the war he decided to live in Thailand for good. หลังสงคราม เขาตัดสินใจอยู่ประเทศไทยตลอดไป I got through every subject except biology. ผมสอบผ่าน(ทำเสร็จ)ทุกวิชา ยกเว้นชีววิทยา Please get ready for going out to a movie. เตรียมตัวไปดูหนังกันเถอะ She is going with me to help me pick out a new suit. เธอไปด้วยกับผมเพื่อช่วยเลือก(คัด)ซื้อเสื้อชุดใหม่ He cleared out his desk when he was moved to another class. เขาเอาของออกจากโต๊ะหมดเมื่อเขาย้ายไปเรียนชั้นอื่น It took me three weeks to get over my cold. กินเวลาตั้ง 3 สัปดาห์กว่าฉันจะหาย(ชนะ สำเร็จ)จากหวัด The horses are getting out of hand. ม้ากำลังวิ่งเตลิดเปิดเปิง(ควบคุมไม่ได้ อาละวาด) The audience was carried away by her charm. ความงามของเธอทำให้ผู้ชมหลงใหล(ทำให้ลืมตัวสะกด) The tradition has been carried over for many years. ประเพณีนี้ได้สืบต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี I am quite worked out today. วันนี้ผมเหนื่อย(หมดแรง ได้ผล)จริง ๆ

รวม Phrasal Verbs

Verb (Meaning) (Example) ask someone out (invite on a date) Brian asked Judy out to dinner and a movie. ask around (ask many people the same question) I asked around but nobody has seen my wallet. add up to something (equal) Your purchases add up to $205.32. back something up (reverse) You'll have to back up your car so that I can get out. back someone up support My wife backed me up over my decision to quit my job. blow up explode The racing car blew up after it crashed into the fence. blow something up add air We have to blow 50 balloons up for the party. break down stop functioning (vehicle, machine) Our car broke down at the side of the highway in the snowstorm. break down get upset The woman broke down when the police told her that her son had died. break something down divide into smaller parts Our teacher broke the final project down into three separate parts. break in force entry to a building Somebody broke in last night and stole our stereo. break into something enter forcibly The firemen had to break into the room to rescue the children. break somethingin wear something a few times so that it doesn't look/feel new I need to break these shoes in before we run next week. break in interrupt The TV station broke in to report the news of the president's death. break up end a relationship My boyfriend and I broke up before I moved to America. break up start laughing (informal) The kids just broke up as soon as the clown started talking. break out escape The prisoners broke out of jail when the guards weren't looking. break out in something develop a skin condition I broke out in a rash after our camping trip. bring someone down make unhappy This sad music is bringing me down. bring someone up raise a child My grandparents brought me up after my parents died. bring something up start talking about a subject My mother walks out of the room when my father brings up sports. bring something up vomit He drank so much that he brought his dinner up in the toilet. call around phone many different places/people We called around but we weren't able to find the car part we needed. call someone back return a phone call I called the company back but the offices were closed for the weekend. call something off cancel Jason called the wedding off because he wasn't in love with his fiancé. call on someone ask for an answer or opinion The professor called on me for question 1. call on someone visit someone We called on you last night but you weren't home. call someone up phone Give me your phone number and I will call you up when we are in town. calm down relax after being angry You are still mad. You need to calm down before you drive the car. not care for someone/something not like (formal) I don't care for his behaviour. catch up get to the same point as someone else You'll have to run faster than that if you want to catch up with Marty. check in arrive and register at a hotel or airport We will get the hotel keys when we check in. check out leave a hotel You have to check out of the hotel before 11:00 AM. check someone/something out look at carefully, investigate The company checks out all new employees. check out someone/something look at (informal) Check out the crazy hair on that guy! cheer up become happier She cheered up when she heard the good news. cheer someone up make happier I brought you some flowers to cheer you up. chip in help If everyone chips in we can get the kitchen painted by noon. clean something up tidy, clean Please clean up your bedroom before you go outside. come across something find unexpectedly I came across these old photos when I was tidying the closet. come apart separate The top and bottom come apart if you pull hard enough. come down with something become sick My nephew came down with chicken pox this weekend. come forward volunteer for a task or to give evidence The woman came forward with her husband's finger prints. come from somewhere originate in The art of origami comes from Asia. count on someone/something rely on I am counting on you to make dinner while I am out. cross something out draw a line through Please cross out your old address and write your new one. cut back on something consume less My doctor wants me to cut back on sweets and fatty foods. cut something down make something fall to the ground We had to cut the old tree in our yard down after the storm. cut in interrupt Your father cut in while I was dancing with your uncle. cut in pull in too closely in front of another vehicle The bus driver got angry when that car cut in. cut in start operating (of an engine or electrical device) The air conditioner cuts in when the temperature gets to 22ºC. cut something off remove with something sharp The doctors cut off his leg because it was severely injured. cut something off stop providing The phone company cut off our phone because we didn't pay the bill. cut someone off take out of a will My grandparents cut my father off when he remarried. cut something out remove part of something (usually with scissors and paper) I cut this ad out of the newspaper. do someone/something over beat up, ransack (Br.E., informal) He's lucky to be alive. His shop was done over by a street gang. do something over do again (N.Amer.) My teacher wants me to do my essay over because she doesn't like my topic. do away with something discard It's time to do away with all of these old tax records. do something up fasten, close Do your coat up before you go outside. It's snowing! dress up wear nice clothing It's a fancy restaurant so we have to dress up. drop back move back in a position/group Andrea dropped back to third place when she fell off her bike. drop in/by/over come without an appointment I might drop in/by/over for tea some time this week. drop someone/something off take someone/something somewhere and leave them/it there I have to drop my sister off at work before I come over. drop out quit a class, school etc I dropped out of Science because it was too difficult. eat out eat at a restaurant I don't feel like cooking tonight. Let's eat out. end up eventually reach/do/decide We ended up renting a movie instead of going to the theatre. fall apart break into pieces My new dress fell apart in the washing machine. fall down fall to the ground The picture that you hung up last night fell down this morning. fall out separate from an interior The money must have fallen out of my pocket. fall out (of hair, teeth) become loose and unattached His hair started to fall out when he was only 35. figure something out understand, find the answer I need to figure out how to fit the piano and the bookshelf in this room. fill something in to write information in blanks (Br.E.) Please fill in the form with your name, address, and phone number. fill something out to write information in blanks (N.Amer.) The form must be filled out in capital letters. fill something up fill to the top I always fill the water jug up when it is empty. find out discover We don't know where he lives. How can we find out? find something out discover We tried to keep the time of the party a secret, but Samantha found it out. get something across/over communicate, make understandable I tried to get my point across/over to the judge but she wouldn't listen. get along/on like each other I was surprised how well my new girlfriend and my sister got along/on. get around have mobility My grandfather can get around fine in his new wheelchair. get away go on a vacation We worked so hard this year that we had to get away for a week. get away with something do without being noticed or punished Jason always gets away with cheating in his maths tests. get back return We got back from our vacation last week. get something back receive something you had before Liz finally got her Science notes back from my roommate. get back at someone retaliate, take revenge My sister got back at me for stealing her shoes. She stole my favourite hat. get back into something become interested in something again I finally got back into my novel and finished it. get on something step onto a vehicle We're going to freeze out here if you don't let us get on the bus. get over something recover from an illness, loss, difficulty I just got over the flu and now my sister has it. get over something overcome a problem The company will have to close if it can't get over the new regulations. get round to something finally find time to do (N.Amer.: get around to something) I don't know when I am going to get round to writing the thank you cards. get together meet (usually for social reasons) Let's get together for a BBQ this weekend. get up get out of bed I got up early today to study for my exam. get up stand You should get up and give the elderly man your seat. give someone away reveal hidden information about someone His wife gave him away to the police. give someone away take the bride to the altar My father gave me away at my wedding. give something away ruin a secret My little sister gave the surprise party away by accident. give something away give something to someone for free The library was giving away old books on Friday. give something back return a borrowed item I have to give these skates back to Franz before his hockey game. give in reluctantly stop fighting or arguing My boyfriend didn't want to go to the ballet, but he finally gave in. give something out give to many people (usually at no cost) They were giving out free perfume samples at the department store. give something up quit a habit I am giving up smoking as of January 1st. give up stop trying My maths homework was too difficult so I gave up. go after someone follow someone My brother tried to go after the thief in his car. go after something try to achieve something I went after my dream and now I am a published writer. go against someone compete, oppose We are going against the best soccer team in the city tonight. go ahead start, proceed Please go ahead and eat before the food gets cold. go back return to a place I have to go back home and get my lunch. go out leave home to go on a social event We're going out for dinner tonight. go out with someone date Jesse has been going out with Luke since they met last winter. go over something review Please go over your answers before you submit your test. go over visit someone nearby I haven't seen Tina for a long time. I think I'll go over for an hour or two. go without something suffer lack or deprivation When I was young, we went without winter boots. grow apart stop being friends over time My best friend and I grew apart after she changed schools. grow back regrow My roses grew back this summer. grow up become an adult When Jack grows up he wants to be a fireman. grow out of something get too big for Elizabeth needs a new pair of shoes because she has grown out of her old ones. grow into something grow big enough to fit This bike is too big for him now, but he should grow into it by next year. hand something down give something used to someone else I handed my old comic books down to my little cousin. hand something in submit I have to hand in my essay by Friday. hand something out to distribute to a group of people We will hand out the invitations at the door. hand something over give (usually unwillingly) The police asked the man to hand over his wallet and his weapons. hang in stay positive (N.Amer., informal) Hang in there. I'm sure you'll find a job very soon. hang on wait a short time (informal) Hang on while I grab my coat and shoes! hang out spend time relaxing (informal) Instead of going to the party we are just going to hang out at my place. hang up end a phone call He didn't say goodbye before he hung up. hold someone/something back prevent from doing/going I had to hold my dog back because there was a cat in the park. hold something back hide an emotion Jamie held back his tears at his grandfather's funeral. hold on wait a short time Please hold on while I transfer you to the Sales Department. hold onto someone/something hold firmly using your hands or arms Hold onto your hat because it's very windy outside. hold someone/something up rob A man in a black mask held the bank up this morning. keep on doing something continue doing Keep on stirring until the liquid comes to a boil. keep something from someone not tell We kept our relationship from our parents for two years. keep someone/something out stop from entering Try to keep the wet dog out of the living room. keep something up continue at the same rate If you keep those results up you will get into a great college. let someone down fail to support or help, disappoint I need you to be on time. Don't let me down this time. let someone in allow to enter Can you let the cat in before you go to school? look after someone/something take care of I have to look after my sick grandmother. look down on someone think less of, consider inferior Ever since we stole that chocolate bar your dad has looked down on me. look for someone/something try to find I'm looking for a red dress for the wedding. look forward to something be excited about the future I'm looking forward to the Christmas break. look into something investigate We are going to look into the price of snowboards today. look out be careful, vigilant, and take notice Look out! That car's going to hit you! look out for someone/something be especially vigilant for Don't forget to look out for snakes on the hiking trail. look something over check, examine Can you look over my essay for spelling mistakes? look something up search and find information in a reference book or database We can look her phone number up on the Internet. look up to someone have a lot of respect for My little sister has always looked up to me. make something up invent, lie about something Josie made up a story about about why we were late. make up forgive each other We were angry last night, but we made up at breakfast. make someone up apply cosmetics to My sisters made me up for my graduation party. mix something up confuse two or more things I mixed up the twins' names again! pass away die His uncle passed away last night after a long illness. pass out faint It was so hot in the church that an elderly lady passed out. pass something out give the same thing to many people The professor passed the textbooks out before class. pass something up decline (usually something good) I passed up the job because I am afraid of change. pay someone back return owed money Thanks for buying my ticket. I'll pay you back on Friday. pay for something be punished for doing something bad That bully will pay for being mean to my little brother. pick something out choose I picked out three sweaters for you to try on. point someone/something out indicate with your finger I'll point my boyfriend out when he runs by. put something down put what you are holding on a surface or floor You can put the groceries down on the kitchen counter. put someone down insult, make someone feel stupid The students put the substitute teacher down because his pants were too short. put something off postpone We are putting off our trip until January because of the hurricane. put something out extinguish The neighbours put the fire out before the firemen arrived. put something together assemble I have to put the crib together before the baby arrives. put up with someone/something tolerate I don't think I can put up with three small children in the car. put something on put clothing/accessories on your body Don't forget to put on your new earrings for the party. run into someone/something meet unexpectedly I ran into an old school-friend at the mall. run over someone/something drive a vehicle over a person or thing I accidentally ran over your bicycle in the driveway. run over/through something rehearse, review Let's run over/through these lines one more time before the show. run away leave unexpectedly, escape The child ran away from home and has been missing for three days. run out have none left We ran out of shampoo so I had to wash my hair with soap. send something back return (usually by mail) My letter got sent back to me because I used the wrong stamp. set something up arrange, organize Our boss set a meeting up with the president of the company. set someone up trick, trap The police set up the car thief by using a hidden camera. shop around compare prices I want to shop around a little before I decide on these boots. show off act extra special for people watching (usually boastfully) He always shows off on his skateboard sleep over stay somewhere for the night (informal) You should sleep over tonight if the weather is too bad to drive home. sort something out organize, resolve a problem We need to sort the bills out before the first of the month. stick to something continue doing something, limit yourself to one particular thing You will lose weight if you stick to the diet. switch something off stop the energy flow, turn off The light's too bright. Could you switch it off. switch something on start the energy flow, turn on We heard the news as soon as we switched on the car radio. take after someone resemble a family member I take after my mother. We are both impatient. take something apart purposely break into pieces He took the car brakes apart and found the problem. take something back return an item I have to take our new TV back because it doesn't work. take off start to fly My plane takes off in five minutes. take something off remove something (usually clothing) Take off your socks and shoes and come in the lake! take something out remove from a place or thing Can you take the garbage out to the street for me? take someone out pay for someone to go somewhere with you My grandparents took us out for dinner and a movie. tear something up rip into pieces I tore up my ex-boyfriend's letters and gave them back to him. think back remember (often + to, sometimes + on) When I think back on my youth, I wish I had studied harder. think something over consider I'll have to think this job offer over before I make my final decision. throw something away dispose of We threw our old furniture away when we won the lottery. turn something down decrease the volume or strength (heat, light etc) Please turn the TV down while the guests are here. turn something down refuse I turned the job down because I don't want to move. turn something off stop the energy flow, switch off Your mother wants you to turn the TV off and come for dinner. turn something on start the energy, switch on It's too dark in here. Let's turn some lights on. turn something up increase the volume or strength (heat, light etc) Can you turn the music up? This is my favourite song. turn up appear suddenly Our cat turned up after we put posters up all over the neighbourhood. try something on sample clothing I'm going to try these jeans on, but I don't think they will fit. try something out test I am going to try this new brand of detergent out. use something up finish the supply The kids used all of the toothpaste up so we need to buy some more. wake up stop sleeping We have to wake up early for work on Monday. warm someone/something up increase the temperature You can warm your feet up in front of the fireplace. warm up prepare body for exercise I always warm up by doing sit-ups before I go for a run. wear off fade away Most of my make-up wore off before I got to the party. work out exercise I work out at the gym three times a week. work out be successful Our plan worked out fine. work something out make a calculation We have to work out the total cost before we buy the house.

follow up

Verb: follow up 1.Pursue to a conclusion or bring to a successful issue "She followed up his recommendations with a written proposal"; 2.Increase the effectiveness or success of by further action "The doctor followed up the surgery with radiation" Derived forms: following up, follow-ups, followed up, followups, follows up --------------------------- Noun: followup 1.A piece of work that exploits or builds on earlier work "his new software is a followup to the programs they started with"; - follow-up 2.An activity that continues something that has already begun or that repeats something that has already been done - follow-up 3.A subsequent examination of a patient for the purpose of monitoring earlier treatment - follow-up, reexamination, review

v.i. กับ v. t.คืออะไร ต่างกันอย่างไร

Vi = intransitive verb คือ verb ที่ไม่ต้องมีกรรมรองรับ เช่น I run, You walk เพียงแค่นี้ก็เป็นประโยคที่สมบูรณ์ได้ Vt= transitive verb คือ verb ที่ต้องมีกรรมมารองรับ ===================================== verbsบางตัว เป็นได้ทั้ง transitive verb และ intransitive verb เช่น eatเป็นได้ทั้ง transitive verb และ intransitive verb Does Bob eat meat? บ๊อบกินเนื้อหรือเปล่า (eat เป็น transitive verb โดยมี meat เป็น object (กรรม) Let's eat first and then go to a movie. เรากินกันก่อนแล้วจึงไปดูหนัง (eat เป็น intransitive verb โดยไม่มี object เพราะเวลาใช้ eat แบบนี้ มันแปลว่า "กินอาหาร" อยู่แล้ว) carryเป็น verb อีกตัวหนึ่ง ที่เป็นได้ทั้ง transitive verb และ intransitive verb แล้วยังมีความหมายพลิกแพลงต่างกันออกไปได้อีกด้วย I carry books to and from school every day. ฉันแบกหนังสือ (หลายเล่ม) ไปกลับโรงเรียนทุกวัน (carry ป็น transitive verb โดยมี books เป็น object) Sound carries a long way over water. เสียงดังข้ามน้ำไปไกล (Sound เป็น subject (ประธาน) carries เป็น intransitive verb ในประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องมี object เพราะ "(เสียง)ดัง" ได้ใจความอยู่แล้ว

Weather / Whether

Weather Weather is usually a noun: How's the weather? The weather is always great this time of year What's the weather like in Spain? Weather is also a verb that means "to be affected by the weather": That house is really weathered Figuratively, weather means "to get/live through": I know we can weather this crisis Whether Whether is a conjunction that introduces possibilities or alternatives: Do you know whether he is coming? You'll do it whether you like it or not Whether you win or lose, you'll have done your best The Bottom Line The words weather and whether are pronounced identically, hence the confusion in spelling. Just remember that whether is more or less interchangeable with "if," while weather indicates the temperature and atmospheric conditions.

as follow / as below

What's the difference between" as follows" and "as below" ? I assume in case of as follows, the next related sentence ( information ) must begin after "as follows:" while there is no such necessity in case of "as below". ไม่มีความจำเป็นในการใช้ as below (ก็ไม่ต้องใช้)

Today afternoon (vs) Today in the afternoon

Which adverbial phrase of time is more grammatically correct: 'Today afternoon' or 'Today in the afternoon'? "today in the afternoon" is grammatical (adverbial phrase of time), while "today afternoon" is not. I would also suggest "this afternoon" as a more succinct and idiomatic alternative to "today in the afternoon".

STREET ENGLISH - White Collar

White Collar สโลแกนชื่อเรื่องนี้เท่มากเลย To solve the hardest crimes. Hire the smartest crimical. คำว่า White Collar ปกติหมายถึงคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว นั่งทำงานหมกๆอยู่ในออฟฟิส ส่วนมากนั่งเล่นเอม หรือทวิตอยู่ในกล่อง cube พูดง่ายๆคือ มนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป ที่หาได้ตามตลาดแถวแหล่งย่านทำงาน จะไม่เหมือนกับ Blue Collar ที่พวกนี้คือแรงงานชั้นล่าง ตรากตรำก่อสร้าง ลงปู ทำถนน ขนปูน นั่งแชตบีบี (ไม่ใช่แระ) แต่หนังซีรีส์เรื่อง White Collar นี้ (ผมเองก็ติดตามดูอยู่) เกี่ยวกับขโมยนักต้มตุ๋นที่อาสาจะช่วยตำรวจแกะรอยมิจฉาชีพอื่นๆ แหนะ ดูแล้วเหมือนหนังเรื่อง Catch me if you can ของแฟลงค์ อบาเนลเลยก็ไม่ผิด

Who / Whom

Who Who is an interrogative pronoun and is used in place of the subject of a question. Who is going? Who are you? Is this who told you? Who can also be used in statements, in place of the subject of a clause. This is who warned me. Jack is the one who wants to go. Anyone who knows the truth should tell us. Whom Whom is also an interrogative pronoun, but it is used in place of the object of a question. Whom is this story about? With whom are you going? Whom did they tell? And whom can be used in statements, in place of the object of a clause. This is the man whom I told you about. John is the man whom you met at dinner last week. Whom is always the correct choice after a preposition. The students, one of whom is graduating this year, failed the test. Lisa is the girl with whom I'm driving to Maine. The Bottom Line The difference between who and whom is exactly the same as the difference between I and me, he and him, she and her, etc. Who, like I, he, and she, is a subject - it is the person performing the action of the verb. Whom, like me, him, and her, is an object - it is the person to/about/for whom the action is being done. Whom is also the correct choice after a preposition: with whom, one of whom, not "with who, one of who." Sometimes it helps to rewrite the sentence and/or replace who/whom with another pronoun so that you can see the relationships more clearly. This is who warned me > He warned me (not "him" warned me) Jack is the one who wants to go > He wants to go (not "him" wants to go) This is the man whom I told you about > I told you about him (not about "he") Lisa is the girl with whom I'm driving to Maine > I'm driving to Maine with her (not with "she")

Which one the most suitable to say sorry such as at the end of letter: Apologize/apology/apologies for this error.

You can say I apologize for this error. Please accept my apology for this error. No more suggestions needed. These are great. I always feel you need a personal element in an apology, which you have with "I" or "my" in these two perfect sentences.

difference between 'talk to' and 'talk with'

You can use either. 'talk to' = the simple action (as opposed to remaining silent) 'talk with' = an extended conversation. -------------- 'talk to' has the sense of direct communication person to person whereas 'talk with' indicates more a conversation. The rightness is not really an issue, it is simply a difference in meaning. If you ask: Who is that person talking to Fred? you are more interested in the identity of the person. If you ask: Who is that person talking with Fred? you also want to know the identity but at the same time you are commenting on the fact that Fred is actually having a conversation with anyone at all. -------------- What about the difference between: "speak to", "speak with", "talk to" & "talk with" ? The same comments apply.

Home vs House

\'Home\' means the place where you live or came from especially when this is the place where you feel happy and comfortable. \'House\' is a building that you live in, especially one that has more than one level and is intended to be used by one family. นี้ไงครับ ภาษาไทยแปลว่าสองคำนี้ว่าบ้านทั้งคู่ แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษแล้ว คำว่า Home จะมีความหมายถึง บ้านที่มีคนอยู่อาศัย มีครอบครัวอยู่ มีความอบอุ่นครับ มีความสุข มีกิจกรรมทำร่วมกัน ส่วน House จะมีความหมายในแง่เชิงสถานที่ เช่น my house ก็คือ my place เป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นตึก เป็นห้อง เป็นหลัง อะไรทำนองนั้น อาจารย์ตอบเฉพาะความหมายในแง่ที่อยู่อาศัยเท่านั้นนะครับ จริงๆแล้วมันมีอีกหลายความหมาย เอาเป็นว่า ถ้าจะเชิญใครไปบ้านก็บอกว่า Please come to my house (my place) หรือจะบอกว่าบ้านไกลก็บอกว่า My house is very far away from here. เพราะบอกแค่ว่าไอ้สิ่งปลุกสร้างที่เรียกว่าบ้านของเราเนี่ยมันอยู่ไกล๊ไกลแค่นั้นเองครับ แต่ถ้าทำงานเสร็จจะกลับบ้านอันแสนอบอุ่นไปซุกหัวหลับนอนก็ต้อง I'm going home นะครับ

Because/Because of ใช้ต่างกันอย่างไรครับ

because ตามด้วยประโยค ส่วนbecause of ตามด้วยวลี เช่น He's absent because he's ill. He's absent because of his illness. BECAUSE / BECAUSE OF มีความหมายเป็นภาษาไทยว่า "เพราะว่า" เป็นการให้เหตผลของการทำหรือไม่ทำหรืออธิบาย จัดเป็นคำสันธานสำหรับการเชื่อมประโยคที่พบได้บ่อยในข้อสอบภาษาอักกฤษทั่วไป โดยเป็น Subordinate conjunction ซึ่งมีหน้าที่ในการเชื่อมประโยคย่อยเข้ากับประโยคหลัก Tips : ตอนแรกที่เจอสองคำนี้เข้าไปผมก็แยกไม่ออก บอกไม่ถูกเลยนะครับว่ามันใช้แตกต่างกันอย่างไร เพื่อความกระจ่าง เรามาลองดูความหมายและวิธีการใช้งานของ 2 คำนี้กันสักเล็กน้อย และทำแบบฝึกหัดกันนิดหน่อย เพื่อความชำนาญ กันลืมครับ Use of 'because' and 'because of' : To give a reason โครงสร้าง: เราจะใช้ because หลังประโยคที่สมบูรณ์ เช่น ตัวอย่าง " They didn't win the game because they didn't play well. BUT, พวกเขาไม่ชนะการแข่งขัน เพราะว่าพวกเขาเล่นไม่ดี มาดู because of จะตามด้วย NOUN Phrase หรือกริยา Ving form. " All the flights were cancelled because of bad weather conditions." ทุกเที่ยวบินถูกยกเลิก เพราะว่าสภาพอากาศที่เลวร้าย " I went to bed very early because of working too much. ฉันไปนอนแต่หัวค่ำเพราะว่าทำงานมากเกินไป บันทึก หวังว่าคงจะเห็นความแตกต่างและแยกแยะออกได้ตามตัวอย่างนะครับ จำไว้ว่า หลัง because จะตามด้วยประโยคสมบูรณ์ คืมีประธาน มีกริยา และมีกรรม ด้วยประมาณ นั้นครับ ส่วน because of ตามด้วยประโยคที่ไม่สมบูรณ์หรือกริยา ing ครับ PRACTICE Fill in the blanks with "because" or "because of" 1. Please don't let your children walk alone _______________the walkway is slippery when wet. 2. Alex missed the penalty _______________lack of concentration. 3. _______________ thick fog at the airport, Louis and Tim had to stay in Ankara one more day. 4. Unfortunately she had to give up singing __________________she had a serious throat problem. 5. You are not allowed to enter this secured area ________________ you don't have an official permit. 6. We decided to buy that house ______________ its low price. 7. _____________the elecrticity was cut off, we went to bed early. 8. We can't go to school by public transport tomorrow ____________ the srtike. 9. I had to overwork last week _____________my manager wanted me to finish the reports. 10. People always trust him _______________his honesty. เฉลยครับ ห้ามดูก่อนทำนะครับ! : 1. because 2. because of 3. Because of 4. because 5. because 6. because of 7. Because 8. because of 9. because 10. because of

fool around เล่นอะไรบ้าๆ

fool around = เล่นอะไรบ้าๆ , เสียเสลา แต่ถ้า fool around with someone หมายถีง มี sex กับ someone แบบไม่ตั้งใจ

had better ควรจะ

had better กับ should แปลว่า "ควรจะ" เหมือนกัน และเป็น Modal เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องตามด้วย Vw ทั้งคู่นะจ๊ะ แต่ใช้ต่างสถานการณ์กัน คือ should ใช้กับการแนะนำทั่วๆไป ไม่ได้เร่งด่วนอะไร แต่ had better ('d better) ใช้กับการแนะนำที่เร่งด่วน เช่น You should go. = คุณควรจะไปนะ (ไม่ได้รีบหรือเร่งด่วนอะไร) แต่ถ้า You'd better go. = คุณควรไปได้แล้วนะ (ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก) had better แปลว่า should แบ่งได้เป็น 2 รูปคือ had better + Present infinitive ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันหรืออนาคต แปลว่า ควรจะ He had better call his mother. เขาควรจะโทรหาแม่ของเขา (= He should call his mother.) It would have been better if + Past Perfect จะหมายถึงเหตุการณ์ในอดีต (ควรจะทำ แต่ไม่ได้ทำ) = should have V3 นั่นเอง (ถ้าจำรูปแบบนี้ไม่ได้ ดูที่ Auxiliaries + Perfect infinitives) It would have been better if you hadn't drunk too much last night. คงจะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่ได้ดื่มมากเมื่อคืน (แต่จริง ๆ เมื่อคืนคุณดื่มมาก) ลองเปลี่ยนประโยคต่อไปนี้โดยใช้ had better/it would have been better if ดู You should have locked the door before you set out. You should go to bed as we have to be up early tomorrow. You should have asked her opinion before making a decision.

neck and neck แข่งขันกันมาแบบคู่คี่ สูสี

neck and neck ตัวอย่างประโยค The two turtles were running neck and neck เต่าสองตัววิ่งแข่งกันมาแบบสูสีมากเลย ยังไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะชนะ

on time vs in time

on time = ตรงเวลา in time = ทันเวลา

การใช้ pending ในประโยค

pending (adj) ยังค้างอยู่,ยังคาราคาซัง,ยังคอยอยู่ pending (prep) ในระหว่าง,อยู่ระหว่าง ตัวอย่างประโยคที่ใช้คำว่าpending The contract had been drafted and was ready to be signed, pending its approval by the director. The voters were made aware of the pending changes to the tax code. Some of the repairs had already been made, and others were still pending.

practice vs practise

practice vs practise practice เป็นคำนาม ตัวอย่างเช่น We need to put these ideas into practice. practise เป็นกิริยา เช่น To learn English well you have to practise. (นี้เป็นกฎตามภาษาอังกฤษแบบอังกฤษนะครับ หากเป็นแบบอเมริกันก็ใช้ practice และมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ในภาษาอังกฤษ รูปแบบของนามจะอยู่ในรูปของ ......ice ส่วน รูปแบบของกิริยาจะอยู่ในรูปของ ....ise. advice vs advise ก็เช่นเดียวกันครับ เช่น Advice เป็นนาม ซึ่งหมายถึงความคิดเห็นบางอย่างที่ใครก็ได้ให้เรา สิ่งที่เราต้องทำ หรือควรจะทำ For example: "I need someone to give me some advice." ผมต้องการใครสักคนที่พอจะให้คำปรึกษาผมได้ Advise เป็นกิริยา ซึ่งหมายถึงการปรึกษาหรือขอคำแนะนำ : "I advise everybody. ผมปรึกษาทุกคน

shame on you ไง ขายหน้าไหมหล่ะ

shame on you = you should feel shame (about what you have done or said). eg. How could you treat her so badly? Shame on you! shame on you หมายความว่า คุณน่าจะรู้สึกละอายแก่ใจบ้าง (ในสิ่งที่คุณทำอะไรลงไปหรือว่าพูดอะไรออกมา) เช่น คุณทำกับเธออย่างงั้นได้ยังไง น่าละอายใจจริงๆ eg. Don't you have any shame? ไม่ละอายบ่างเหรอ such a shame = ว้า เสียตายจัง (ไม่น่าเป็นเกย์เลย) What a pity = น่าเห็นใจจัง

shell out จ่ายเงิน(อย่างไม่เต็มใจ)

shell out = จ่ายเงิน (อย่างไม่เต็มใจ) eg. You shell out $399 ($599 starting in 2008) for a slick gray-and-white box that is smaller than a typical answering machine.

since กับ but ใช้ต่างกันอย่างไรครับ

since = เนื่องจาก ใช้ในกรณีที่เชื่อมประโยค 2 ประโยค ที่เป็นเหตุเป็นผลกัน but = แต่ ใช้ในกรณีที่เชื่อมประโยค 2 ประโยค ที่มีเนื้อหาขัดแย้งกัน พอจะเห็นความแตกต่างในการใช้งานไหมครับ? เนื่องจากผมไม่ค่อยอ่านหนังสือ ผมจึงสอบตก Since I didn't read books, I failed the examination. ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือ แต่ผมสอบผ่าน I didn't read books, but I passed the examination.

so do i ฉันก็ด้วย

so do i ฉันก็ด้วย เหมือน me too

so / so that / so...that

so แปลว่าดังนั้น ไว้เชื่อมสองประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น I study hard so I pass the exam ฉันเรียนหนัก ฉันจึงสอบผ่าน so that แปลว่า เพื่อว่า บอกวัตถุประสงค์ที่ผู้พูดมีอยู่ภายในใจ มีความหมายเท่ากับ in order that เช่น I study hard so that I can pass the exam ฉันเรียนหนักเพื่อที่ฉันจะได้สอบผ่าน แต่ระวัง so that ติดกันจะแปลว่า เพื่อว่า แต่ถ้าเมื่อไหร่ เป็น so...that อยู่ห่างกันแล้วมี adjective หรือ adverb อยู่ตรงกลาง โครงสร้าง so...that จะแปลว่ามากจนกระทั่ง เช่น She is so beautiful that I fall in love with her เธอสวยมากจนกระทั่งฉันตกหลุมรัก

somehow จะวิธีใดก็ตาม, จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

somehow adv. ด้วยวิธีใดก็ตาม Syn. however,anyhow,anyway Related. อย่างไรก็ตาม อย่างใด adv. somehow Related. in some way ,by some means Sample: เขามิได้รับสิทธิพิเศษอย่างใดในการเข้าทำงานเลย ก็ตามที adv. somehow Syn. ตามที Related. whatever,however Sample: เขากุมอำนาจการเมืองไว้อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าสังขารจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตามที

sprain my wrist ข้อมือเคล็ด cramp a leg โอ้ย ตะคริวกิน

sprain my wrist ข้อมือเคล็ด wrist (ริซท) n. ข้อมือ cramp a leg โอ้ย ตะคริวกิน

through, though, thought

through (ซรู) = ผ่านเข้าไป, เข้ามาทาง through and through = อย่างเต็มที่, ทุกประการ though (โซธ) = แม้ว่า thought (ซธอท) =มาจาก think แปลว่า คิด throught = ไม่มีคำนี้เฟ้ย

as follows / as following

use "as follows" (with the "s" at the end), like this. The people attending the meeting are as follows: (and then the names) But to be honest, a more natural way would be to say: The following people will attend the meeting: (and then the names) Here are three more examples: You have ordered the following products: The following price list is for your perusal: The Olympic Games will be attended by the following countries:

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 16 การร่วมประชุม-4 (Participating-4)

การประชุมนอกจากจะเป็นโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นของตนเอง สอบถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะใช้เพื่อสื่อสารให้ผู้ร่วมงานคนอื่นๆได้ทราบถึงทัศนะตลอดจนท่าทีที่มีต่อประเด็นการทำงานต่างๆทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หรือมีความไม่แน่ใจว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยดี หรืออย่างน้อยก็ให้ได้ทราบว่ากำลังตั้งอกตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูดอยู่ การแสดงออกนี้อาจจะไม่ออกมาในรูปของการพูดอภิปรายสนับสนุนหรือคัดค้าน อาจเป็นเพียงแค่การเอ่ยคำพูดเพียงไม่กี่คำหรือเพียงประโยคเดียวสั้นๆ หรือแม้แต่เป็นการแสดงออกทางภาษากาย เช่น การพยักหน้า การส่ายหน้า การขมวดคิ้ว การยิ้ม ฯลฯ คำพูดที่ใช้ในลักษณะที่กล่าวนี้ ได้แก่ คำพูดและเสียงที่แสดงให้ผู้พูดทราบว่าเรากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ Right. Hmm. OK. Ah. Yes./Yes? Uh huh. Really? ซึ่งอาจจะตามด้วยคำพูดใดคำพูดหนึ่งต่อไปนี้ I see (what you mean). I see your point. I understand. I've got it. That's interesting. That sounds good. I follow you. ตัวอย่างเช่น Right, I see. Yes, I understand. Really? That sounds good. Hmm, that's interesting. Uh huh, I've got it.

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 15 การร่วมประชุม-3 (Participating-3)

การประชุมนั้นจะต่างจากการบรรยายตรงที่อาจจะมีผู้เข้าร่วมประชุมผู้อื่นพูดแทรกขึ้นในขณะที่เรากำลังพูดอยู่และมักทำให้การเสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมขาดตอนไป เพื่อเป็นการเชื่อมโยงแนวความคิดให้ต่อเนื่องสำหรับผู้ฟังหลังจากที่ได้ชี้แจงหรือตอบข้อสงสัยแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องเชื่อมโยงสิ่งที่เราจะพูดต่อไปกับสิ่งที่เราได้พูดไปก่อนที่จะถูกขัดจังหวะเข้าด้วยกันโดยอาศัยคำพูดต่อไปนี้ Going back to what I said before, ... . To go back to what I was just saying, ... . As I was saying, ... . To return to the point I was making, ... . ในบางครั้งผู้ที่ขัดจังหวะอาจจะหลงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดอยู่ ในกรณีนี้เราไม่จำเป็นต้องตอบหรือชี้แจงข้อสงสัยนั้น แต่อาจใช้คำพูดเหล่านี้แจ้งให้ทราบว่าเขากำลังหลงประเด็น แล้วจึงย้อนกลับไปพูดเรื่องที่กำลังพูดมาก่อนหน้านี้ต่อไป I take your point but can we please stick to the main subject in hand. I see what you mean but I think you're losing track of the main point. That's not the point. We're here to discuss ... . That's all very well. Now, let's get back to the point. I know what you mean, but I don't see what it's got to do with what we're talking about here. นอกจากนี้แล้วในการประชุมแต่ละครั้งไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีเรื่องพูดหรือมีความคิดเห็นที่จะเสนอทุกครั้งไป ในกรณีที่เราไม่มีเรื่องจะพูดหรือความคิดเห็นที่จะเสนอ หรือไม่มีท่าทีที่ชัดเจนแน่นอน เราอาจใช้ประโยคเหล่านี้ได้ It's very difficult (for me) to say (at the moment). I'm afraid I can't comment on that at this stage. I'll need some more time before I can give any comment. Let me think it over for a few minutes. I don't have any comment at the moment. I'd like to have a few more minutes to consider this matter before I can give any comment. There won't be any comment from me at the moment. I'd rather comment later, if that's all right. Please give me a few more minutes. I'm organizing my thoughts.

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 6 การสรุป (Concluding)

การสรุปเป็นการทบทวนประเด็นสำคัญๆที่ได้กล่าวไปแล้วในระหว่างการนำเสนอก่อนที่จะมีการสรุปขั้นสุดท้าย ซึ่งการสรุปอาจจะเป็นการให้ข้อเสนอแนะสำหรับหนทางปฏิบัติในอนาคตก็ได้ ในการกล่าวสรุปนั้นอาจใช้คำพูด เช่น In conclusion/summary, I've explained ... . In conclusion/summary, I've talked about ... . So, to /summarize/sum up/ ... . So, as we've seen in this presentation today ... . As I've explained, ... . At this stage I'd like to /go over/run through/ ... . My main point was ... . So, to conclude ... . In conclusion, we can say ... . หลังจากที่กล่าวสรุปไปแล้วต่อไปจะเป็นโอกาสดีที่จะแจกจ่ายเอกสารประกอบการบรรยายต่างๆที่ได้เตรียมมา (หากมี) โดยเราสามารถแจ้งให้ผู้ฟังทราบด้วยประโยคต่อไปนี้ I have some documents/folders/handouts/copies of ..., which I'll be passing round now. I'll be distributing you folders/handouts/copies of ... . For some of you who'd like to have a copy of ..., I'll be handing them out to you now. I'll be handing out copies of ... to you now. I've prepared some handouts/copies of ... which I'd like to pass round now. In the handouts being distributed now, you'll see/find ... . สถานการณ์ตัวอย่าง In conclusion. I've talked about the prospect of opening foreign market for our products. The survey indicated that it is possible for us to do so, but under the present circumstances we have only two options, to do it ourselves or to let the local middleman do it for us. In the handout being distributed, you'll find all relevant information about the market situations in those countries in which we are thinking of opening markets.

สรุป 4 แบบ ของการใช้่ If-Clause

การใช้ If (4 แบบ) แต่ละตำราก็จะเรียกไม่ค่อยเหมือนกัน เอาง่ายๆ ละกันว่ามี 4 แบบ ไปจำว่า First condition, Second condition หรือ Third condition ก็ไม่ได้ช่วยให้เราเรียนรู้อะไร แบบที่ 1 If + Present Simple, Present Simple วิธีใช้ ใช้กับเหคุการณ์ที่เป็นความจริง เช่น ◦If you heat water, it boils. (ถ้าคุณต้มน้ำ น้ำก็เดือด) ◦If you get here before seven, we can catch the early train. (ถ้าคุณมาถึงที่นี่ก่อน 7 โมง เราก็สามารถขึ้นรถไฟไปได้เร็ว) ◦I can't drink alcohol if I have to drive. (ฉันไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ถ้าฉันต้องขับรถ) แบบที่ 2 If + Present Simple, Will + V1 วิธีใช้ ใช้กับเหคุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เช่น ◦If I have enough money, I will go to Japan. (ถ้าฉันมีเงิน ฉันจะไปญี่ปุ่น) ◦If he is late, we will have to start the meeting without him. (ถ้าเขามาสาย เราจะต้องเริ่มการประชุมโดยไม่มีเขา) ◦I won't go outside if the weather is cold. (ฉันจะไม่ออกไปข้างนอกถ้าอากาศมันเย็น) ◦If I have time, I will help you. (ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะช่วยคุณ) ◦If you eat too much, you will get fat (ถ้าคุณกินมากเกินไป คุณก็จะอ้วน) แบบที่ 3 If + Past Simple, would + V1 (would แปลว่า น่าจะ) (Past Simple à V2) วิธีใช้ ใช้กับเหคุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน หรือ อนาคต เช่น ◦If I knew her name, I would tell you. (ถ้าฉันรู้ชื่อเธอ ฉันก็น่าจะบอกคุณ) [จริงๆ แล้วไม่รู้จักชื่อเธอ] ◦She would be safer if she had a car. (เธอน่าจะปลอดภัยกว่านี้ ถ้าเธอมีรถ) [จริงๆ แล้วเธอไม่มีรถ] ◦It would be nice if you helped me do the housework. [มันน่าจะดีถ้าคุณได้ช่วยฉันทำงานบ้านบ้าง] [จริงๆ แล้วเธอไม่ช่วยเลย] ◦If I were you, I would call her. (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันน่าจะโทรหาเธอ) [จริงๆ แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคุณ] ◦If I were you, I would not say that. (ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็ไม่น่าจะพูดเช่นนั้น) [จริงๆ แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคุณ] แบบที่ 4 If + Past perfect, would have + V3 (Past perfect -> Had + V3) วิธีใช้ ใช้กับเหคุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต เช่น ◦If you had worked harder, you would have passed your exam. (ถ้าคุณขยันให้มากกว่านี้ คุณก็น่าจะสอบผ่าน) [จริงๆ แล้วสอบตกไปแล้ว] ◦If you had asked me, I would have told you. (ถ้าคุณถามฉัน ฉันก็น่าจะบอกคุณไปแล้ว) [จริงๆ แล้วคุณไม่ได้ถาม] ◦I would have been in big trouble if you had not helped me. (ฉันน่าจะมีปัญหาไปแล้ว ถ้าคุณไม่ได้ช่วยฉันไว้) [จริงๆ แล้วคุณช่วยฉันไว้] ◦If I had met you before, we would have been together. (ถ้าฉันพบคุณก่อนหน้านี้ เราก็น่าจะได้อยู่ด้วยกันไปแล้ว) [จริงๆ แล้วฉันพบคุณช้าไป]

single day หมายความว่าอย่างไร

การใช้ single เป็นการให้น้ำหนักกับ every day ซึ่งแปลว่า ทุก ๆ วัน every single day แปลว่า ทุก ๆ วันเหมือนกันแต่เน้นตรงที่ว่าผู้พูดไม่อยากให้ขาดแม้แต่วันเดียว อีกตัวอย่างหนึ่งครับ I think of you every minute of the day. ( ผมนึกถึงเธอทุก ๆ นาที ) I think of you every single minute of the day. ( ความหมายเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผู้พูดอยากเน้นว่า ไม่มีสักนาทีในวันนั้นที่เขาไม่ได้นึกถึงเธอ ... ซึ่งอาจจะเวอร์ไปหน่อย ) อีกสองตัวอย่างครับ Kanok watched every single episode of Susan Khon Pen. ( กนกได้ดูละคร สุสานคนเป็น ทุก ๆ ตอน ไม่พลาดแม้แต่ตอนเดียว ) Krissana buys a lottery ticket every single morning before appearing on TV. ( กฤษณะซื้อล็อตเตอรี่ทุก ๆ เช้าก่อนออกรายการโทรทัศน์ )

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 20 การปิดประชุม (Closing)

ก่อนจะกล่าวปิดการประชุม ประธานการประชุมอาจแจ้งให้ที่ประชุมได้ทราบซึ่งมีใจความหลักๆว่าการประชุมได้พิจารณาเรื่องต่างๆครบถ้วนตามวาระ และหากไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้วก็เป็นการสมควรแก่เวลาที่จะยุติการประชุม โดยอาจใช้คำพูดใดคำพูดหนึ่งหรือมากกว่าจากประโยคต่อไปนี้ซึ่งถือได้ว่าเป็นคำพูดปิดประชุมสำหรับการประชุมที่ไม่เป็นทางการนัก I believe we've covered everything. That seems to be everything. That just about covers everything. If no one has anything else to add ... . If nobody has anything to add, then we can draw the meeting to a close. If nobody has anything to add, then I think we can end the meeting at this point. If that's all/everything then (I think) we can stop here. I guess that wraps things up for today. I'd like to suggest that we stop here then. That's all for today. Let's stop here. หากยังมีเรื่องต้องพิจารณาอีกแต่มีเหตุจำเป็นต้องยุติการประชุมไว้ก่อน ประธานอาจขอให้มีการเลื่อนการประชุมออกไป I suggest we adjourn. Let's adjourn this meeting. Let's meet again (to discuss the rest of the matters) on วันที่ at เวลา ก่อนที่จะกล่าวปิดประชุมอย่างเป็นทางการหรือหลังจากที่ได้กล่าวปิดประชุมแบบไม่เป็นทางการไปแล้ว จะเป็นการดีหากประธานการประชุมจะใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณในความร่วมมือของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน Thank you everybody. I'd like to thank ... for ... I'd like to thank everybody for ... Thank you (all) for your participation. สำหรับการปิดประชุมระดับสูงหรือการประชุมที่ค่อนข้างจะเป็นทางการนั้นคำพูดที่นิยมใช้กันคือ I declare the meeting closed.

ก่อนเที่ยง และ หลังเที่ยง (พูดอย่างไร)

ก่อนเที่ยง before noon today หลังเที่ยง this afternoon, today in the afternoon

English Proverbs

ขอนำเสนอสำนวนภาษาอังกฤษค่ะ Absence makes the heart grow fonder คุณจะรู้ว่าคุณรักของสิ่งนั้นมากแค่ไหนเมื่อคุณได้เสียมันไปแล้ว Don't put all your eggs in one basket อย่าลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่คุณมีในการลงทุนเพียงอย่างเดียว There is more than one way to skin a cat ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางออกได้หลายทาง You can lead a horse to water but you can't make it drink คุณสามารถแนะนำสิ่งที่ดีให้คนอื่นได้แต่ไม่สามารถบังคับให้เขาทำตามได้ What doesn't kill you make you stronger คนเราจะคิดมากขึ้นและฉลาดขึ้นเมื่อผ่านความยากลำบากได้แล้ว Necessity is the mother of invention ถ้าคุณอยากจะทำอะไรจริง ๆ คุณย่อมหาทางทำมันจนได้ The apple doesn't fall far from the tree ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น Don't count your chickens before they hatch อย่าไว้ใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น That's the pot calling the kettle black อย่าวิจารณ์ความผิดของคนอื่นถ้าคุณก็ทำความผิดนั้นเหมือนกัน Every cloud has a silver lining ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ When it rains, it pours เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้วมันย่อมเกิดขึ้นซ้ำอีกได้ A leopard cannot change its spots คนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ You shouldn't judge a book by its cover อย่าตัดสินคนจากรูปร่างภายนอก Look before you leap คุณควรจะวางแผนอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือทำ Too many cooks spoil the broth มากคนมากความ

ถ้าจะถามชาวต่างชาติว่า "คุณมาจากไหน" คำตอบข้อใดผิด 1. Where are you come from? 2. Where do you come from? 3. Where are you from?

ข้อ 1 ผิด ครับ เนื่องจากประโยคข้อ 1 มีทั้ง Verb to be คือ are และ Verb แท้ คือ come ซ้อนกันอยู่ ซึ่งผิดหลัก grammar เต็มๆ

ประโยคต่อไปนี้ข้อใดถูกต้อง 1. He goes to school by a car. 2. He goes to school by the car. 3. He goes to school by his car. 4. He goes to school by car.

ข้อ 4 การเดินทางโดยพาหนะอะไรก็ตาม เราใช้วลี by + พาหนะ นั้น โดยไม่มี article นำหน้า เช่น by bus คือ การเดินทางโดยรถเมล์ เป็นต้น

Food

ข้าวสวย Steamed rice ข้าวผัด Fried rice ข้าวไข่เจียว Omelet on rice ข้าวหมูแดง Thinly sliced roasted pork on rice ---------------------------------------- ไม่เอาเผ็ด Not spicy ไม่ใส่พริก No chili ไม่ใส่ถั่ว No peanut ไม่ใส่ผงชูรส No MSG ไม่ใส่น้ำแข็ง No ice ---------------------------------------- Deep fried (ทอด) ปอเปี๊ยะทอด Vegetarian spring rolls หมูทอดกระเทียมพริกไทย Deep fried pork with garlic and pepper ทอดมันปลากราย Deep fried fish cake หมูกรอบ Crispy pork ---------------------------------------- Fried (ผัด) ผัดผักบุ้งน้ำมันหอย Fried morning-glory ผัดผักรวม Stir fried mixed vegetables ไข่ยัดไส้ Stuffed omelet ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ Fried chicken with cashewnuts ---------------------------------------- Noodle (ก๋วยเตี๋ยว) เส้นใหญ่ Wide rice noodle เส้นเล็ก Thin rice noodle บะหมี่ Egg noodle ผัดไทย Phat Thai noodle ผัดซีอิ๊ว Fried noodle in soy sauce บะหมี่หมูแดง Egg noodle soup with red roasted pork หมี่กรอบราดหน้า Crispy fried noodles in thick sauce ---------------------------------------- Soup (แกง) ต้มยำ Tom yum soup ต้มจืด Clear soup ต้มข่าไก่ Coconut soup with chicken ---------------------------------------- Curries (แกง) แกงเผ็ด Red curry แกงเขียวหวาน Green curry (with chicken / pork) ---------------------------------------- Salad น้ำตกหมู Spicy sliced pork salad ยำรวมมิตร Spicy mixed salad ยำไข่ดาว Spicy salad with fried egg

STREET ENGLISH - F**K YOU

คงไม่ต้องอธิบายมากว่าจากหัวเอนทรี่นี้จะเขียนคำว่า "****" เพราะรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ ไม่ว่ามาจากภาษาอะไร ถึงจะพูดอังกฤษกันไม่ได้ แต่คุณรู้วิธี ออกเสียงคำนี้ชัดๆ กันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าสำเนียงไหน หรือบางทีฝรั่งก็เรียกว่า "The F Word" เป็นอันรู้ว่ามันหมายถึง **** หลายคนเข้าใจผิดว่า **** แปลว่าการร่วมเพศไปซะทั้งหมด ซึ่งมันไม่จริงเลย แต่มันก็คือคำสบถที่คุ้นหูที่สุดและ ติดปากมากที่สุดในโลกมากกว่า ----- **** เป็นคำอุทาน ใช้เมื่อแสดงว่า ผู้พูดโกรธมาก เช่น ****! I'm late แมร่งเอ้ย สายแล้วว้อย **** ! can't believe what an idiot I am !! แม่งเอ๊ย ! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากูจะโง่ขนาดนี้ !! ****! You again! เฮ้ย! แกอีกแล้วหรอ! ****! I can't find the keys! แม่งเอ๊ย! กุญแจมันหายไปไหนวะ **** you เป็นคำหยาบคายมาก...ห้ามใช้โดยเด็ดขาด ส่วนมากจะพบในหนังในสถานการณ์ ที่มีคนหนึ่งกำลังโกรธคนหนึ่งอยู่ จะใช้เมื่ออยากคัดค้าน หรือไม่ทำตามสัญญา เช่น **** you. I'm not your son. ไปให้พ้นเลย ผมไม่ใช้ลูกของคุณซักหน่อย (แต่ถ้าเป็น you **** จะหมายถึง มึงตายแน่ !!) **** แล้วตามด้วย something or someone อาจแปลว่า ช่างแม่ง เช่น **** it ! หรือ **** her ก็คือ ช่างแม่งเหอะ ช่างแม่ง อย่าสนแม่งเลย เช่น **** Noi. She's stupid and nobody likes her. ช่างน้อยมัน หล่อนโง่และก็ไม่มีใครชอบหล่อนอยู่แล้ว **** him. He's not worth the time. ช่างแม่ง เขาไม่มีค่าพอที่จะต้องไปเสียเวลาด้วยหรอก **** it. I'm going anyway. ช่างมันเถอะ ยังไงฉันยังคิดที่จะไปอยู่ดี ประโยคติดปากอีกคำคือ I don't give a **** หรือ I don't give a shit แปลว่า ฉันไม่แคร์ ****ed (อยู่ในรูป adj. หรือ ส่วนเติมเต็ม) หมายถึง สิ่งของนั้นพัง ใช้ไม่ได้แล้ว อาจใช้กับสถาณการณ์ที่ย่ำแย่ด้วย เมื่อใช้กับคนก็มีหมายความว่าแย่เหมือนกัน Shit! My car is ****ed! รถกรูเป็นเหี้ยอะไรวะ We are ****ed. พวกเราซวยแล้ว I can't hear the news coz the radio's ****ed. ฉันฟังข่าวไม่ได้เพราะวิทยุมาเสียซะงั้น This party's ****ed. Let's go somewhere else. งานเลี้ยงนี้ไม่สนุกเลย เราไปที่อื่นกันดีกว่า He's ****ed unless there's a miracle. เขาคงแพ้แน่นอกจากจะมีปาฏิหาริย์ นอกจากรูป ****ed ก็ยังมี ****ing อีกคำ คำว่า ****ing มักเอาไปวางหน้าคำในประโยค เพื่อเป็นการขยายความอารมรณ์ เหมือนคำว่า "แมร่งโคตร" เช่น Your car is ****ing dirty รถท่านแมร่งโคตรสกปรกเลย หรือไม่จำเป็นต้องเป็นแง่ลบก็ได้ Your car is ****ing clean รถมึงโคตรสะอาดเลย **** up หมายถึง ทำพัง Don't **** up a good opportunity. อย่าทำให้โอกาสดีๆ พังหล่ะ (อย่าเสียโอกาสดีๆ) Do what I say. Don't **** it up. ทำตามที่บอกนะ อย่าทำมันพังหล่ะ Drugs will **** you up. การเสพยาเสพติดทำให้ชีวิตคุณพัง **** off เป็นคำหยาบอีกคำที่แปลว่า ไปให้พ้นๆ ความหมายคล้ายกันเลยกับ go away หรือ get lost แต่แรงกว่า มักใช้ในประโยคคำสั่ง เช่น **** off and leave me alone. ไปไกลๆเลย ฉันอยากอยู่คนเดียว I'm over it, Get the **** off ฉันเลิกกับแกแล้วย่ะ ไปไกลๆ(ส้นตีน)เลยนะยะ Get the **** off, I don't want to see you anymore ไปให้ไกลส้นตีนกรูเลยไป ไม่อยากเห็นหน้ามึงแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการใช้ the **** ตามหลังกลุ่มคำถาม WH ทั้งหลาย ที่ติดปากกันด้วย เช่น What the ****! แมร่ง อะไรว๊า!? What the **** happened to you? เกิดเหี้ยอะไรขึ้นกับมึงเหรอ Where the **** is my cell phone? มือถือตูอยู่ที่ไหนวะ Who the **** are you? มึงเป็นใคร สาดดดด? How the **** did you get in here? มึงเข้ามาได้ยังไงวะ? คุณเคยได้ยินคำว่า mather****er ไหม คำนี้ไม่ค่อยอยากจะนำเสนอซักเท่าไหร่ คำๆเนี่ยะ มักได้ยินในภาพยนตร์ ค่อนข้างบ่อย หมายถึง คนที่แย่มากๆ (เขาเปรียบเหมือนว่าเลว เลวแม้กระทั่งแม่ของตัวเองก็ร่วมเพศเข้าไป ได้) ส่วนมากใช้ว่ากล่าวคนที่แย่ๆๆๆ แย่ ของคำข้างบน ก็มีความหมาย แย่ พอๆกันกับ son of a bitch คำนี้ใช้เวลาที่โกรธคนอื่นแล้วก็อยากทำให้คนอื่น โกรธเราด้วยเช่นกัน เช่น He's a mean mother****er / son of a bitch. เขาเป็นคนโหดร้าย ไม่มีอะไรดีเลย

คาถาของการที่จะเรียนภาษาอังกฤษสำเร็จ

คาถาของการที่จะเรียนภาษาอังกฤษสำเร็จนั่นก็คือ " ฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก" ...หากมีโอกาสก็นำไปใช้บ้าง และคุณจะต้อง......มีใจ ให้ครบ ทั้ง 4 อย่าง ศัพท์ทางพระเรียกว่า อิทธิบาทสี่ (สาธุ) แต่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Basis for success พื้นฐานหรือรากฐานของความสำเร็จ แอ่น แอ้น....น คือ 1.มีใจที่อยากจะเรียน (Aspiration) 2.ตั้งใจที่จะเรียน (Exertion) เพราะเห็นเป้าหมายในชีวิต ลางๆ ว่า หากเรียนจบ อย่างไรก็ไม่ตกงานแน่ๆ และมีหน้าที่การงานที่ดี เมื่อมีหน้าที่การงานที่ดี เงินก็มา แฟนก็มา คือมีแรงจูงใจที่ดี ก็สามารถชักนำให้มีความตั้งใจที่อยากจะเรียนได้ 3.สุขใจที่จะเรียน (Active thought) ไม่ใช่เรียนเพราะคุณแม่ขอร้อง แต่เรียนเพราะใจรัก บางคนเรียนเพราะมีแฟนเป็นฝรั่ง อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ ดีในที่นี้หมายถึงการพัฒนาอาจจะดีกว่าคนอื่นๆ อย่าเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นนะครับ 4.หมั่นตรึกตรองหรือทบทวน (Testing) บ่อยๆ เป็นต้นว่า ถ้าอยากเก่งไวยากรณ์ ก็ต้องเขียนบ่อยๆ หากอยากพูดเก่ง ต้องพูดให้มากๆ ใครจะบอกว่า ยัยนี่บ้า หมอนี่บ้า แรด ก็ไม่ต้องไปสนครับ หากอยากได้ยินเสียงตัวเองก็ลองพูดคนเดียวในห้องน้ำ และพิจารณาเสียงตัวเองตามความเป็นจริงนะครับว่า ใกล้เคียงหรือยัง คนบ้าๆ แบบนี้แหละครับ ที่จะเก่งภาษาอังกฤษ และพัฒนาได้ไวกว่าคนขี้อาย ความขี้อายไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ แต่บางครั้งความขี้อายก็เป็นอุปสรรคของการเรียนเหมือนกัน หากภาษาอังกฤษไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนแล้วทำให้คนพูดได้ ผมว่า ป่านนี้ครูสอนฝรั่งคงตกงานหมดแล้วหละครับ เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อย่ามัวรอให้พระอาทิตย์ขึ้นให้เสียเวลาอีกวันหนึ่งเลยครับ มีเทปภาษาอังกฤษอยู่ที่ไหน มีหนังภาษาอังกฤษอยู่ที่ไหน (หากไม่มีก็ไปเช่ามา) ฟังบ่อยๆ แล้วฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัยเหมือนอย่างที่เรากินข้าว ทำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง หรือหากขี้เกียจเยอะก็ทำวันละ 30 นาที แต่ต้องทำทุกวันนะครับ หากชอบประโยคไหนก็ลองพูดตาม ช่วงแรกๆ อย่าไปกังวลให้มาก หากเราฟังไม่ออก มึนไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่าเราหวังมากเกินไป จงเรียนให้สนุก อย่าให้มีอะไรมากดและดัน อย่างน้อยๆ คุณก็เริ่มนับ ศูนย์ แล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่ต้องไปกลัวหรืออายเด็ก หากเราพูดไม่ชัดหรือสำเนียงแปร่งๆ ความสำเร็จย่อมเริ่มมาจาก ศูนย์ หากคุณไม่นับจากศูนย์ แล้วคุณจะถึง 10 ได้อย่างไร เหมือนอย่างสุภาษิตที่เขากล่าวเอาไว้นั่นแหละครับ "ความสำเร็จอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ก้าวเดียว ก็เหมือนไกลพันลี้ หากเราไม่ก้าวไปหามัน" "กรุงเทพไม่ได้สร้างเสร็จเพียงแค่วันเดียว" การนิยามของการทำความดีก็คือ การทำอะไรที่มันฝืนใจตัวเองนั่นแหละครับ อยากจะเก่งภาษาอังกฤษ แต่ว่านะ........ก็คนมันขี้เกียจ ในเมื่อเราหิวข้าว แล้วไม่หยิบคำข้าวใส่ปากตัวเอง จะอ้อนวอนให้ใครป้อนคำข้าวให้ทุกวันครับ การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน หากเราไม่ใส่ใจ ในการที่จะใฝ่ศึกษาค้นคว้า ต่อให้มีครูดี จับมือเขียน ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครรู้ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษดีเท่ากับตัวเราเอง หากรู้ว่าเราพูดไม่เก่ง อาจจะเป็นเพราะเราขี้อาย หรือเป็นคนไม่ชอบพูด ก็ต้องเปลี่ยนแปลงบุคลิกตัวเองเสียใหม่ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่างประเทศ แต่มีสตางค์น้อย มีเทป ซีดี อินเตอร์เน็ต วิทยุ หนังภาษาอังกฤษเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด อาจจะน้อยกว่าหนังโป๊นิดหน่อย จึงใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ อย่าให้มันใช้เรา มีคนไทยเป็นจำนวนมากที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองแล้วเก่งมีเยอะแยะไป อย่าหลอกตัวเองไปวันๆ ด้วยคำแก้ตัวต่างๆ นานา...หากคุณ ตั้งใจจริง ทำจริง ปฏิบัติจริงๆ อีกไม่นานคุณจะรู้ว่า ไม่มีภาษาอะไรที่คุณอยากจะเรียนแล้วเรียนไม่ได้ นอกจากคุณไม่อยากจะเรียนเอง ผมเห็นทีจะต้องไปแล้วหละครับ ไปแล้วใช่ไปลับ เดี๋ยวก็คงจะกลับ แต่คงนานหน่อย เพราะเห็นท่าไม่ค่อยดี มีบางข้อที่ผมก็อธิบายไม่ค่อยละเอียด รบกวนเพื่อนช่วยอธิบายเพิ่มด้วยแล้วกันนะครับ / หากมีพิมพ์ผิด ตกหล่น ต้องขอโทษอย่างแรง อย่างไรก็รักษาสุขภาพบ้างนะครับ คิดว่าอากาศที่เมืองไทยช่วงนี้ คงเข้าฤดูร้อนแล้ว อย่างไรก็อาบน้ำบ้างนะครับ เพื่อสุขภาพของเหงือกและฟันของคุณเอง Good bye for now. ไปหละ

STREET ENGLISH - คำด่าผู้ชาย

คำด่าผู้ชาย นี่เป็นครั้งแรก ที่ Street English จะเรื่มรวบรวม คำสบถ (เท่าที่ตูจะนึกออก) มาเสนอให้ผู้อ่าน ได้รับเอาไปเป็นอาวุธปากเต็มๆ ไว้ด่าฝรั่ง ที่ไม่แน่คุณอาจเจอฝรั่งที่ กวนทีนคุณ หรือทำตัวไม่เหมาะสม ที่ตูควรจะมารยาทดีกับมึงแล้ว จนคันปากอยากจะด่ามันให้ มันจั๊กกะจี้ด บ้าง ปกติเรามักได้ยินคำด่าผู้ชายเป็นภาษาไทยว่ายังไงบ้าง มันอยากจะพูดด่าเป็นไทย ก็กลัวฝรั่งมันไม่เข้าใจ เดี๋ยวมันไม่เจ็บไม่สำนึก อยากบอกกับมันเหลือเกินว่า ไอ้ห่า ไอ้ชั่วสารเลว ไอ้หน้าตัวเมีย ไอ้เชี่ย ไอ้โง่ ไอ้งั่ง ไอ้ควาย............(ไปเรื่อยแระ) นอกจากเนื้อหาเรื่อง **** ที่เคยเขียนรวมสำนวนและวิธีการใช้ ****ไปแล้ว วันนี้ไอ้ก๋องจะเอามาให้เป็นชุดแก่ผู้อ่านทุกท่านก็วันนี้แหละ Jerk อ่านว่า เจิ้ค แปลว่า ผู้ชายที่เห็นแก่ตัว ความรู้สึกด้าน ใจดำ ไร้หัวใจ มองผู้หญิงไม่เห็นคุณค่า เห็นผู้หญิงเป็นแค่สิ่งของไว้ให้เมาท์ในวงเหล้าเล่น มักแสดงท่าทีสุภาพบุรุษ ให้ผู้หญิงหลงช่วงแรกๆ พอได้ก็ทิ้งซะ รวมถึงพวกที่สนใจแต่ตัวเองมากกว่าใครด้วย Joe's a real Jerk the way he used Jane like that. Can't believe she bought his crap though. โจมันเป็นคนใจดำที่ทำกับเจนเช่นนั้น. ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะหลงมันได้อีก เพิ่มเติมอีกคำ ถ้า ******** คำนี้จะแปลว่าการสำเร็จความ...ด้วยมือเราเองนะครับ คำที่คล้ายๆกันกับคำว่า Jerk ยังมีคำว่า Prick และ Dick ได้เหมือนกันครับ และสองคำที่ว่า ยังแปลตรงตัวว่า ไอ้จุ๊บุ๊ของผู้ชายด้วย อ๋อ เวลาพูด Talking dict กรุณา อย่าออกเสียงว่า ทอร์คกิ้ง ดิ้ก นะ ไม่งั้นมันจะแปลว่า จุ๊บุ๊พูดได้ -------------------------------------------------------------- ******* แปลตรงๆคงเป็น ไอ้รูตูด ไอ้ตูดหมึก แต่ความหมายนี่ เหมือนคำว่า Jerk ครับแต่แรงกว่าหน่อย คำนี้จะหมายถึงพวกที่ไอ้สัปรังเค ไอ้ห่วยแตก ทั่วๆไปที่เห็นตามท้องถนนก็บ่อยครั้ง ที่ว่าอย่างนี้ เพราะได้ยินบ่อยๆ บนถนน หลังเสียงแตรยาวๆ มันจะตามออกมาว่า ******* เหมือนเป็นแตรที่สองของมัน บางทีอาจแถมด้วยสัณญานมือตามมาก็อาจจะเจอ (คำๆนี้ ผมไปเปิดดิกออนไลน์ของผม ได้คำนิยามความหมายของคำว่า ******* มาว่า Your current boss เจ้านายปัจจุบันของคุณ - _-' ) จะให้แรงๆอีกคำยังมี douchbag อ่านว่า ดูช-แบก นะครับ --------------------------------------------------- Bastard ถ้าแปลแบบไม่ใช่คำด่า จะแปลว่า เด็กที่เกิดนอกทะเบียนสมรส ครับ หรือลูกที่พ่อกับแม่ไม่ได้แต่งงานกัน นี่ก็ด่าผู้ชาย ว่า ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ไอ้สันดารโจรร้อห้าสิบ เช่น You boned me last night and now you are gonna dump me now? You're ****ing bastard. แกฟันฉันเมื่อคืน แล้วมาตอนนี้แกจะทิ้งฉันเหรอ? ไอ้สันดาร ชาติชั่วเอ้ย.. อีกคำในหมวด ตัวชั่วยังมี Son of a bitch อ่านเร็วๆหน่อยแบบฝรั่ง ซัน นอ-ฟะ-บิทช์ แปลได้เหมือน ไอ้หน้าตัวเมีย คำนี้ถือว่าแรงกว่า bastard อีกนะผมว่า ด่าใครก็ได้ที่คุณอยากจะด่าว่า ไอ้หน้าตัวเมีย ไอ้สันดาร ไอ้ชาติชั่ว You're son of a bitch ----------------------------------------------- ต่อไป คำด่าที่ออกไปทางประเภท ไอ้โง่ งี่เง่า สมองกลวง ปัญญาทึบ เรียงลำดับจากโง่ที่สุดไปโง่น้อยเลยครับ Idiot เห็นเป็น อีเดียต นี่ไม่จำเป็นต้องผู้ชายเสมอไปก้ได้ ขอแค่ ไอคิว ต่ำกว่า 29 คุณก็จะถูกขึ้นทะเบียน ให้เป็นสมาชิกสมาคมอีเดียตสากลนานาชาติได้แล้ว แต่เมื่อพ้นวัย Idiot แล้ว คุณก็จะฉลาดขึ้นอีกหน่อยมาเป็น Moron มอรอน คำนี้ด่าผู้หญิงได้ไหม ไม่แน่ใจ แต่ไม่เคยเห็น เห็นแต่ด่าผู้ชายอย่างเดียว อีกคำที่แปลว่าโง่เหมือน Moron ยังมี ******* Dumb ที่แปลว่า โง่ เอามารวมกับ ass ตูดนะแหละครับ เลยอ่านตรงๆว่า ดั๊ม-แอส นอกจากมีความหมายว่า ไอ้โง่ ยังใช้ด่าพวกที่คิดว่าตัวเองฉลาด ไม่รับฟังเรื่องอื่น ยังมีอีกคำที่เหมือนกันก็คือ Jackass และฉลาดคิดมาอีกหน่อย (แต่ก็ยังโง่ๆอยู่) Retarded เอ้าเปิดเพลง Black eyed peas กันหน่อยเร้วว Everybody, everybody, let's get into it. Get stupid. Let's get retarded, ฮ้า Let's get retarded, in here! สรุปก็คือแปลว่า Stupid หรือ ไอ้ปัญญาอ่อน นั่นเอง ----------------------------------------------------------- หมวดต่อไป สำหรับด่าไอ้พวก โรคจิต ทำตัวทุเรศ น่าสะอิดสะเอียน เหมือนจิตไม่ปกติ พฤติกรรมตามตื้อ แอบดู ส่องชาวบ้าน แอบถ่าย โรคจิต พวกนี้ไม่ได้ชั่วหรอก เพียงแต่จิตไม่ปกติ ควรไปหาหมอด่วน เป็นพวก Psycho แต่ด่า Psycho อาจไม่แรงสะใจเท่าไหร่ ก็ด่าแทนได้ด้วยคำอื่น เช่น Sicko เหมือนเป็นพวกป่วย แต่ป่วยทางจิต อีกคำก็ Pervert หรือ Perv อันนี้คือไอ้หื่น ไอ้บ้ากาม I know you've been stalking me, you are pervert. ฉันรู้ว่าแกแอบตามฉันมานะ แกไอ้จิตวิปริต คำที่เบาลงหน่อยก็ยังมี Weirdo และ Freak สำหรับพวกทำตัวประหลาดๆ เหมือนคนไม่มีเพื่อนคบ หมกตัวทำอะไรไม่รู้ คือจิตหน่อยๆนะเอง --------------------------------------------- คำต่อไปคือจะด่าว่า ไอ้พวกขี้แพ้ Loser ปกติการด่าคำนี้ ผมก็ว่าไม่ดีนะ แพ้แล้วไม่ควรซ้ำเติม แต่เอาเป็นว่าเขาใช้ด่ากันบ่อยเหมือนกัน และเวลาด่า เขามักจะนำมือขวา มากางนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง มาทำเป็นตัวอักษร L แล้วทาบบนหน้าผากตัวเอง ให้อีกฝั่งเห็น แล้วด่าไปว่า ลูซเซอรรรรรรรร์ ------------------------------------------------ ต่อมาเรามาดูหมวด ไอ้โสมม ไอ้เศษเดนสังคม ไอ้รกแผ่นดิน สวะสังคม กัน เราจะใช้คำว่า scumbag หรือ Piece of shit ก็ได้ รวมๆกันมันก็เหมือนไอ้ชั่ว ได้เช่นกัน -------------------------------------------------------- สุดท้าย ด่าได้สารพัดประโยชน์ และได้ยินบ่อยมากที่สุด Mother****er หรือ ไอ้เชี่ย นะเอง วันนี้ขอจบหมวดคำด่าแต่เพียงเท่านี้

คุณรู้ไหมว่า "What do you do?" แปลว่าอะไร

คำถามข้อนี้แปลว่า "คุณประกอบอาชีพอะไร?" แต่คนไทยส่วนใหญ่แปลว่า "คุณกำลังทำอะไร" ด้งนั้นถ้าคุณประกอบอาชีพวิศวกร ก็ต้องตอบว่า "I'm an engineer."

คำว่า "โง่" ภาษาอังกฤษเค้าว่าอย่างไร?

คำว่า "โง่"เป็นคำคุณศัพท์หรือคำขยายที่เราต่างไม่ชอบหากจะมีใครมอบให้เรา เพราะเรามักจะคิดว่าตัวเองฉลาด อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง หรือแม้เรารู้ตัวดีว่าเราโง่ เราก็ยังโมโหอยู่ดีหากมีใครมาว่าเรา อาชีพที่น่าจะเกลียดคำนี้มาก ๆ คืออาจารย์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นอาชีพที่แบกอีโก้ไว้กับตัวไม่น้อย ตำแหน่งแรกที่ถูกมอบให้แบกเหมือนกับปู่โสมเฝ้าทรัพย์ก็คือ ดร. ขั้นต่อมาคือ ผศ. รศ.และศ.ตามลำดับ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยอมความไม่ได้หากจะมีใครมาว่าอาจารย์ มหาวิทยาลัยโง่ แม้แต่อาจารย์ด้วยกัน หากมีการโจมตีกันทางผลงานวิชาการก็คงจะได้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง และในใจนึกภาวนาอยากจะให้ที่สัมนากลายเป็นสภาไต้หวันคือ ได้ชกหน้ากันแหกไปคนละข้าง หารู้ไม่ความจริง พวกเราไม่ว่าอาชีพไหน ตำแหน่งไหน ล้วนแต่มี "ความโง่" กันคนละแบบ ศ.ดร.ก็ใช่ว่าจะ รู้เรื่องปลูกต้นไม้เก่งกว่าเกษตรกรและคงจะหาปลาเก่งเท่าชาวประมงไม่ได้ ในทางกลับกันพวกชาวบ้านก็เปรียบได้ดังอยู่ในจุดเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของสังคมและโลกได้เท่ากับนักวิชาการ คำว่า "โง่" ในภาษาอังกฤษที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ idiot ซึ่งกลายเป็นคำทับซ้ำภาษาไทยไปแล้ว รวมไปถึง stupid , silly และ dumb ส่วนคำว่า fool ก็เป็นคำที่น่าสนใจไม่น้อย คำว่า fool หากเป็นคำคุณศัพท์ ก็คือ foolish ไว้เติมนำหน้าคำนามเหมือนกับชื่อเพลงที่ว่า My Foolish Heart หรือ "หัวใจโง่ ๆ ของฉัน" หากเป็นคำนามแปลว่า "คนโง่"หากเป็นคำกริยาก็คือคำ "หลอก" (deceive) อีกวลีที่น่าสนใจคือ คำว่า make a fool (out) of someone หมายถึงทำให้ใครบางแสดงความโง่ออกมาหรือทำให้ขายหน้า อนึ่งคำว่า out ในวงเล็บนี้จะใส่ไว้หรือไม่ใส่ก็ได้ Sondhi likes to make a fool of his wife by scolding her in front of the guests. สนธิชอบทำให้ภรรยาของเขาขายหน้าโดยการด่าเธอต่อหน้าแขก หากเป็น make a fool (out) of oneself หมายความว่า ปล่อยไก่ออกมา The political leaders must be extremely careful not to make a fool out of themselves in front of the cameras. ผู้นำทางการเมืองต้องระวังอย่างสุดขีดไม่เผลอปล่อยไก่ต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ April Fools' day คือวันที่หนึ่งของเดือนเมษายนของทุกปีที่ฝรั่งจะมีทำเนียมคือโกหก อำกันเล่น ไม่ว่าผ่านคำพูดหรือทางอินเตอร์เน็ต แถมระบาดมาเมืองไทยเช่นมีคนโพสบอกว่า "ทักษิณกลับเมืองไทยแล้ว" หรือ "ต่อไปนี้เมืองไทยไม่มีคนยากจนอีกต่อไป" fool around หมายถึงการไปมั่วกับกิ๊กทั้งที่มีแฟนหรือคู่ครองแล้วก็ได้ Mary fools around with one of her colleagues though she has two lovely kids with Peter. แมรี่แอบไปมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานถึงแม้หล่อนจะมีลูกน่ารัก ๆ สองคนกับปีเตอร์แล้วก็ตาม คำว่า คนโง่อีกครั้งที่ฝรั่งชอบใช้แต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักคือคำว่า jerk Do you think I am a jerk to answer the teacher like that ? คุณคิดว่าผมเป็นคนโง่หรือที่ไปตอบคำถามอาจารย์เช่นนั้น ? (แต่ระวังคำว่า jerk หากเป็นกริยาจะแปลว่ากระตุกหรือเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว) คำว่า moron ก็มีความหมายเดียวเดียวและในหนังฝรั่งใช้กันบ่อย Many academics believe all the members of parliament ,though elected , are morons. นักวิชาการส่วนมากเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนถึงแม้ว่าจะได้รับการเลือกตั้งมาล้วนเป็นคนโง่ทั้งนั้น อีกคำอาจจะไม่ตรงนักแต่ก็แรงเหมือนกันคือคำว่า ไร้เดียงสาหรือ naive เป็นคำด่าด้วยก็ได้ I think you are pretending to be naive to say that guy is good. ผมคิดว่าคุณกำลังเสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาโดยการบอกว่าหมอนั้นเป็นคนดี คำว่า witting แปลว่าฉลาดหรือรู้กาละเทศะ เป็นคำคุณศัพท์หากมีความหมายกลับกันก็คือ unwitting และถ้าเป็นคำขยายกริยาให้เติม ly Sumalee unwittingly offers some money to her neighbor who took care of her baby while she was out. สุมาลีไม่ฉลาดนักที่ไปยื่นเงินให้เพื่อนบ้านซึ่งมาดูแลลูกของเธอขณะที่เธอไม่อยู่บ้าน อีกคำที่เกี่ยวกับ wit ที่เกี่ยวกับคำว่า โง่ก็คือ dim-witted ที่แปลว่าทึ่ม ๆ Asked about the problem in the south , the military spokeman seems to be quickly dim-witted. เมื่อถูกถามเกี่ยวกับปัญหาในภาคใต้ โฆษกกองทัพเหมือนจะดูทึ่ม ๆ ไปทันที ส่วนคำที่ดูเป็นภาษาเขียนก็คือ Ignorance ที่แปลว่าความโง่ขลา The aim of education is to get rid of the ignorance. เป้าหมายของการศึกษาคือการทำลายความความโง่ขลา

ain't แปลว่าอะไร

คำว่า ain't ปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในขณะนั้น ain't ถือเป็นตัวย่อของ am not เพียงตัวเดียว (และเป็นการย่อที่ถูกหลัก grammar ในสมัยนั้นด้วยนะครับ) วันเวลาผ่านไป...จนกระทั่งมาถึงยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ain't ก็เริ่มถูกนำมาใช้เป็นตัวย่อของ is not, are not, do not, does not, did not, has not, have not บ้าง (จากเดิมที่เคยใช้เป็นแค่ตัวย่อของ am not เพียงตัวเดียว) ปัจจุบัน ain't เป็นตัวย่อของ am not, is not, are not, do not, does not, did not, has not, have not...ซึ่งคำทั้งหมดนี้แปลว่า "ไม่" ทั้งสิ้น และเนื่องจาก ain't หลายใจ...ย่อแทนชาวบ้านเค้าไปทั่ว แทนที่จะย่อแค่ am not เพียงตัวเดียวเหมือนในอดีต...ทำให้ ain't ถูกลงโทษให้กลายเป็นคำที่ผิดหลัก grammar ของภาษาอังกฤษ ใช้พูดใช้เขียนแบบไม่เป็นทางการได้ แต่ไม่สามารถใช้พูดใช้เขียนแบบเป็นทางการได้อีก ต่อไปนี้คือตัวอย่างการใช้ ain't ในประโยคต่างๆ I aint' got no money. ฉันไม่มีตังค์ (ในประโยคนี้ ain't = have not) He ain't wrong. เขาไม่ผิด (ในประโยคนี้ ain't = is not) Betty ain't go to school. เบ็ตตี้ไม่ไปโรงเรียน (ในประโยคนี้ ain't = does not) เป็นต้น

"Answer the door, please." หรือ "Get the door, please."

คุณคงไม่แปลว่า "ตอบประตูหน่อย" หรือ "กรุณานำประตูมาหน่อย" หรอกนะครับ ทั้งสองสำนวนนี้แปลว่า "ช่วยเปิดประตูหน่อยครับ"

Due to / Because of

คุณรู้หรือไม่ว่า... "because of" และ "due to" ต่างก็แปลว่า "เนื่องจาก" เช่นเดียวกัน และสื่อความหมายเหมือนๆ กัน แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีการใช้งานแตกต่างกันครับ เราไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้ (แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่เรามักจะนำมาใช้สลับกันบ่อยๆ) คำว่า "because of" นั้นเป็นคำกริยาวิเศษณ์ แต่ "due to" นั้นเป็นคำคุณศัพท์... หมายความว่ายังไง? มาดูตัวอย่างกันก่อนดีกว่า The dismissal of Mr. Daeng, the managing director, was due to his failure in increasing company's revenue. การถูกปลดออกของคุณแดง กรรมการผู้จัดการ นั้นเนื่องจากความล้มเหลวในการเพิ่มรายได้ของบริษัทของเขา กับ Mr. Daeng, the managing director, was dismissed because of his failure in increasing company's revenue. คุณแดง กรรมการผู้จัดการ ถูกปลดออกเนื่องจากความล้มเหลวในการเพิ่มรายได้ของบริษัทของเขา สังเกตเห็นความแตกต่างหรือเปล่าครับ? ในประโยคแรกนั้น หากเทียบกับรูปแบบของประโยคพื้นฐานที่ว่า Subject + Verb หรือ Subject + Verb + Object เราจะเห็นได้ว่า กริยาของประโยคนี้คือ was ที่เป็นแค่กริยาเชื่อม (Linking verb) ดังนั้น รูปแบบของประโยคก็จะเป็น Subject + Verb แต่เราจะใส่กริยาเชื่อมโดดๆ ไม่ได้ ในกรณีนี้สิ่งที่เราต้องการก็คือ ส่วนเติมเต็มของประธานของประโยค (Subject complement) ซึ่งมักจะเป็นคำนาม (เช่นคำว่า student ใน He is a student) หรือ คำคุณศัพท์ (เช่นคำว่า good ใน คำว่า The song is beautiful) ดังนั้นวลี "due to his failure in increasing company's revenue" ที่ตามหลัง was จึงนับเป็นส่วนเติมเต็มของประธานของประโยค (Subject complement) ซึ่งก็คือคำว่า dismissal นั่นเอง ส่วนประโยคที่สองนั้น คำว่า because of นั้นตามหลังคำว่า dismissed ซึ่งเป็นคำกริยาของประโยค (อย่าไปใส่ใจกับคำว่า was นะครับ มันต้องอยู่ในรูปนี้เพราะเป็น Passive voice เนื่องจาก Mr. Daeng เป็นผู้ถูกกระทำ คือ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง) จึงเป็นการทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ครับ หลายคนเวลาที่ต้องพูด อาจจะเคยเจอคนพูด It is because of... blah blah... (มันเป็นเพราะ... อย่างนั้น อย่างนี้...) จริงๆ แล้วเป็นการใช้ที่ผิดหลักไวยากรณ์นะครับ เพียงแต่ในเวลาที่เราสนทนานั้น เราจะไม่เข้มงวดกับหลักไวยากรณ์มาก เพราะการพูดคุยนั้นต้องอาศัยการตอบสนองที่รวดเร็ว ก็มักมีโอกาสที่จะพลาดในหลักไวยากรณ์ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนได้ ถือว่าอนุโลม เพราะสุดท้ายก็สื่อความหมายกันได้รู้เรื่อง แต่หากเป็นกรณีของการเขียนนั้น ไม่ควรผิดครับ เพราะเราจะมีเวลาในการพิจารณา และตรวจสอบไวยากรณ์ครับ The word pairs "because of" and "due to" are not interchangeable. The reason they are not is that they "grew up" differently in the language. "Because of" grew up as an adverb; "due to" grew up as an adjective. Remember that adjectives modify only nouns or pronouns, whereas adverbs usually modify verbs. (The fact that adverbs occasionally modify other adverbs or even adjectives and entire phrases is not relevant to this particular discussion.) To be more precise, with their attendant words, "due to" and "because of" operate as adjectival and adverbial prepositional phrases. To understand how the functions of "due to" and "because of" vary, look at these sentences. 1. His defeat was due to the lottery issue. 2. He was defeated because of the lottery issue. In sentence #1, his is a possessive pronoun that modifies the noun defeat. The verb "was" is a linking verb. So, to create a sentence, we need a subject complement after the verb "was." The adjectival prepositional phrase "due to the lottery issue" is that complement, linked to the subject by "was." Thus, it modifies the noun defeat. But in sentence #2, the pronoun "he" has become the sentence's subject. The verb is now "was defeated." As reconstructed, "He was defeated" could in fact be a complete sentence. And "due to" has nothing to modify. It's an adjective, remember? It can't very well modify the pronoun "he," can it? Neither can it refer to "was defeated" because adjectives don't modify verbs. Sentence 2, therefore, should read: "He was defeated because of the lottery issue." Now the "why" of the verb "was defeated" is explained, properly, by an adverbial prepositional phrase, "because of." In informal speech, we probably can get by with such improper usage as "His defeat was because of the lottery issue," and "He was defeated due to the lottery issue." But we shouldn't accept that kind of sloppiness in writing. We don't want to look stupid among those in the audience who know better. If we show them we don't care about the language, how can we expect them to believe us when we tell them that we care about the facts?

ฉันไม่ชอบแฟนชั่นสมัยนี้เลย

ฉันไม่ชอบแฟนชั่นสมัยนี้เลย ไม่ควรพูดว่า I don't like nowadays fashions. แต่ควรจะบอกฝรั่งว่า I don't like today's/ modern fashions. หรือ I don't like today's uniforms of students.

American and British English -2

ชนิดคำ คำแปล American English British English alumnus graduate ผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว antenna aerial เสาอากาศ anyplace anywhere ทุกแห่ง apartment flat ห้องชุด attorney barrister, solicitor ทนายความ baby carriage pram รถเข็นเด็ก baggage luggage หีบห่อ bar pub ร้านเหล้า bill bank note ธนบัตร billboard hoarding ป้ายโฆษณา blow-out puncture ทุบทำลาย broiler grill ย่าง cab taxi รถยนต์รับจ้าง can tin กระป๋อง candy sweets ลูกกวาด checker draught หมากรุก closet wardrobe ตู้เสื้อผ้า collect call reverse charge โทรศัพท์แบบเรียกเก็บเงินปลายทาง cookie biscuit ขนมปังกรอบ corn maize ข้าวโพด crazy mad บ้าคลั่ง crib cot โรงเลี้ยงสัตว์ cuff turnup ปลายขากางเกง dessert sweet ของหวาน diaper nappy ผ้าอ้อม dish-towel tea-towel ผ้าเช็ดจานช้อนถ้วย divided highway dual carriageway ถนน 2 ฝั่ง ที่มีเกาะกลางถนน drape curtain ผ้าม่าน drug store chemist's ร้านขายยา elevator lift ลิฟท์ engineer (train) engine driver คนขับรถไฟ eraser rubber ยางลบ faculty staff (of a university) เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย fall autumn ฤดูใบไม้ร่วง faucet tap ก๊อกน้ำ fender wing บังโคลนรถยนต์ first floor ground floor ชั้นล่าง flashlight torch ไฟส่องทาง freeway motorway ถนนใหญ่สำหรับรถใช้ความเร็วสูง french fries chips มันฝรั่งทอด garbage can dustbin, rubbish-bin ถังขยะ garbage collector dustman คนเก็บขยะ garbage, trash rubbish ขยะ gasoline petrol น้ำมันรถยนต์ gear-shift gear-lever เปลี่ยนเกียร์รถยนต์ generator dynamo เครื่องกำเนิดไฟฟ้า highway main road ทางหลวง hobo tramp คนจรจัด hood bonnet กระโปรงหน้ารถยนต์ intermission interval เวลาพัก intersection crossroads ทางแยก janitor caretaker ภารโรง kerosene paraffin น้ำมันก๊าด line queue แถว liquor store off-license ร้านขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ mad angry โกรธ mail post จดหมาย mailbox postbox กล่องใส่จดหมาย mailman, mail carrier postman บุรุษไปรษณีย์ math maths คณิตศาสตร์ mean nasty, vicious ต่ำทราม motor engine เครื่องยนต์ movie film ภาพยนตร์ muffler silencer หม้อพักของรถยนต์ noplace nowhere ไม่มีที่ไหน oil-pan sump อ่างใส่น้ำมันเครื่องยนต์ one-way single (ticket) ตั๋วโดยสารชนิดไปเที่ยวเดียว optometrist optician ช่างทำแว่นตา overpass flyover สะพานลอย pacifier dummy จุกนมปลอมสำหรับเด็ก pants trousers กางเกง pantyhose tights ถุงน่อง patrolman constable พลตำรวจ pavement road surface ผิวถนน peek peep แอบมอง pitcher jug เหยือก, คนโท pocket-book,purse handbag กระเป๋าใส่สตางค์ใบเล็กๆ potato chips potato crisps มันฝรั่งทอด private hospital nursing home บ้านพักผู้ป่วย railroad railway ทางรถไฟ raincoat mackintosh เสื้อกันฝน raise rise (in salary) ขึ้นเงินเดือน realtor estate agent นายหน้าซื้อขายที่ดิน restroom public toilet ห้องน้ำสาธารณะ round trip return (ticket) ตั๋วโดยสารชนิดไปกลับ rubber condom ถุงยางอนามัย rubber wellington boot รองเท้าบู๊ทกันน้ำ schedule timetable ตางรางสอน, ตารางเวลา scotch tape sellotape แถบยางพลาสติกมีกาวสำหรับรัดของ sedan saloon (car) รถยนต์นั่งสี่ประตู semester term ภาคการเรียน shorts underpants กางเกงขาสั้น shoulder (of road) verge (of road) ไหล่ถนน, ขอบถนน sick ill ป่วย sidewalk pavement ทางเท้า sneakers gym shoes รองเท้าผ้าใบพื้นยาง สำหรับเล่นกีฬา someplace somewhere บางที่ spigot tap (outdoors) จุกอุดรูถังน้ำ spool of thread reel of cotton หลอดม้วนด้าย stingy mean ใจแคบ, ขี้เหนียว store shop ร้าน stove cooker เตาหุงต้ม stroller push-chair รถเข็น subway underground railway รถไฟใต้ดิน suspenders braces สายพาดไหล่ รั้งกางเกงแทนเข็มขัด sweater jersey, jumper, pullover เสื้อไหมพรม the movies the cinema ภาพยนตร์ thread cotton ฝ้าย thumbtack drawing-pin หมุดติดกระดาษ traffic circle roundabout วงเวียนกลับรถ trashcan dustbin, rubbish-bin ถังขยะ truck lorry รถบรรทุก trunk boot ช่องเก็บของท้ายรถยนต์ turnpike toll motorway ด่านเก็บเงินทางด่วน undershirt vest เสื้อชั้นใน vacation holiday วันหยุดยาว vacuum cleaner hoover เครื่องดูดฝุ่น vest waistcoat เสื้อกั๊ก wash up wash your hands ล้างมือ wheat corn ข้าวสาลี windshield windscreen กระจกหน้ารถยนต์ wreck crash ชน, แตก, พัง wrench spanner กุญแจปากตาย yard garden สนามหญ้า, สวน zipper zip ซิป ปัจจุบันภาษาอังกฤษแบบอเมริกันค่อนข้างมีอิทธิพลเยอะมาก เช่นในคอมพิวเตอร์เป็นต้นนะครับ บางครั้งเราพิมพ์แบบอังกฤษ ปรากฏว่าในคอมพิวเตอร์ขีดแดง (แสดงว่าไม่ถูก) คือให้เปลี่ยนใช้แบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีอีกเยอะนะครับ นึกออกเพียงเท่านี้ (ที่ค่อนข้างเห็นบ่อย ตอนที่อยู่เมืองไทย)

STREET ENGLISH - ภาษาอังกฤษ ในการเลือกตั้ง!!

ช่วงนี้ เมืองไทยมันร้อนเหลือเกินนะว่าไหม ครับ มันร้อนนี่ไม่ใช่แค่อากาศนะสิ ทั้งการเมือง ทั้งเศรษฐกิจ ทั้งตลาดหลักทรัพย์ โอ้ย มันแสนร้อนแช่แฟ้บ!! จริงๆเลย แต่มาพูดเรื่องการเมืองเลย มันไม่ดีเนอะ เดี๋ยวจะพาเอา exteen กลายเป็นสนามรบไปอีก ฉะนั้นไม่ต้องมาบอกในบลอกผมนะ ว่าคุณอยู่ข้างใคร เก็บไว้ในใจเถอะ ไม่ต้องมาออกความเห็นนะ เขียนมาขนาดนี้ เลยได้ไอเดียแระ เสียดายน่าจะอัพเรื่องนี้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนๆ ที่เราเพิ่งเลือกตั้ง ผู้ว่ากทม.ไป งั้นวันนี้ขอพูดถึงเรื่อง การเลือกตั้ง!! ก็แล้วกัน ประเทศไทยเราเป็นประเทศประชาธิปไตยนะครับ ต้องเคารพในสิทธิที่เราและคนอื่นมี... เอ่อ ตูหยุดพล่ามเรื่องนี้ดีกว่านะ แน่นอน ภาษา อังกฤษ ก็คือ...... Elections...... แน่นอนครับ กรุณา ออกเสียง L และเสียง R ให้เป็นด้วยนะครับขอร้อง เพราะหากออกเสียง เป็น Erections เมื่อไหร่ มันจะไม่ได้แปลว่า การเลือกตั้งนะครับ แต่ มันกลาย เป็น ไอ้หนูตั้ง แทน จำเอาไว้ให้ชัดเจนด้วยนะ และออกเสียงให้ถูกต้อง ก่อนจะไปพูดให้ใครได้ยินนะจ้ะ ก๋องขอ.... ที่สำคัญ อย่าลืมตัว S ด้วยนะครับ เพราะ อีเล็ก นังนี่เวลามาลงสมัครหาเสียง มันไม่มาคนเดียว ไม่งั้นมันจะเป็นการเลือกตั้งได้ยังไง ฉะนั้น อีเล็กจึงออกมาแข่งกันหวังเป็นที่หนึ่งไม่เป็นรองใคร มันจึงต้องออกเสียง เอส ให้ชัดเจนด้วย เป็น อีเล็กชั่นสสสส์ ซึ่งการเลือกตั้งทั่วไป แบบที่เราเลือกตั้ง สส. กัน ก็คือ General Elections หากจะกล่าวว่าประเทศไทยเรามีการเลือกตั้งในเดือนไหนเป็นประโยคก็จะใช้ประโยคเช่นนี้ครับ Thailand is holding General Elections in September. แต่ดูจากเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้ที่เกิดการขัดแย้งกัน และดูท่าทางจะจบยากแน่ๆ ผมก็เดาไม่ออกเลยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นและผมไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมี ประชาชน ขอให้มีการเลือกตั้ง เมื่อไหร่หรือเปล่า แต่การที่ประชาชนขอให้มีการจัดการเลือกตั้งซะทีเถอะ เขาเรียกว่า Call for elections อ๋อ ผู้ที่เข้าลงสมัครเลือกตั้ง เราเรียก พวกเขาว่า Candidate แค้นดิเดท นะครับ และสิ่งที่เราได้เจอคู่กับเหล่า แค้นดิเดท พวกนี้ ก็คือ แผนการหาเสียง ของพวกเขาแน่นอน ----------------------------------------------------------------------------------- ขอเมาท์นอกบทเรียนหน่อยเหอะ พูดไปแล้วคันๆ อยากมาเมาท์เหลือเกิน เมื่อตอนที่เลือกตั้งผู้ว่าที่เพิ่งผ่านมาหยกๆนี้ ผมไม่ขอพูดถึง The Big Four ตัวเก็ง ละกันนะ แต่ผมอดเอามือกุมขมับไม่ได้ ที่ฟังแผนเหล่าไม้ประดับคนอื่นๆ ที่นั่งดูในรายการ จับเข่าคุยกัน ของ สรยุทธ์ โอ้ย ไอ้แช่แฟ้บ ทั้งหลาย มึงคิดกันได้ยังไง อย่าง คุณหญิงขา พระสวรรค์วิมานมากระซิบบอกคุณในฝันให้คุณต้องลงสมัครหรือครับ มาออกรายการเมิงยังคิดจะแบกขิมมากะโชว์ในรายการอีกพร้อมสวมเครื่องราชจากสวรรค์เฟอร์นิเจอร์เต็มนิ้วเต็มคอตรึมอีก ส่วนคุณน้องฟ้า (เอ้ยไม่พูดชื่อจริงๆเขาสิ เออแต่กูเผลอไปแล้ว) น้องฟ้าขา กูเรียกมึงน้องก็แล้วกันนะเรียกตัวเองแทนน้องอยู่ได้ คุณน้องมั่นใจเหลือเกินนะ คุณน้องมีปากสวรรค์ขนาดนั้นเลยหรือ ที่ว่าหากคุณน้องได้เป็นผู้ว่านะ การประท้วงที่เขาประท้วงกันร้อนๆนี้ จะเลิกกันหายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยสิ่งที่คุณน้องบอกซะเสียงสูงมั่นใจเหลือเกินว่า ง้ายยยง่าย มากเลยค่า.... แต่บอกไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าอยากรู้ก็ต้องให้น้องฟ้าเป็นผู้ว่าสิคะ มันง่ายมากจริงๆคะ) เอ่อ คุณน้องจะใช้วิชาสะกดจิต สะกดคนทั้งประเทศให้หยุดทะเลาะกันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ อีกแผนการหาเสียงก็ ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าหากมันทำจริงแล้ว จะเกิดผลแบบไหนขึ้น นั้นคือของคุณผู้ชายคนหนึ่งที่คิดจะทำ "โครงการ Sky walk" โอ้โห อลังการงานสร้างมากๆ หากทำงั้นจริงๆ เมืองกรุงเทพต้องดังไปทั่วโลกแน่ๆ การันตีชัวร์ป้าปเลย ผมขอการันตีเองจริงๆ เพราะทั้งโลกเห็นคงต้องตะลึง ไม่เคยมีใครคิดได้แบบนั้นมาก่อนในโลก โครงการกระจกใสคนเดิน อยู่ค่อมตลอดถนนในเมือง หากตูเป็นคนขับรถข้างล่าง คงลายตาน่าดู บนหัวตูมีแต่ตีน ตีน และตีน ยั้วเยี้ย เดินข้ามหัวตูเต็มไปหมด สาวๆคนไหนใส่กระโปรง ตูคงได้เห็นหมดว่า สาวน้อยหน้าใสคนไหนกำลังอินเทรนด์ที่ไม่อินเลยกับแฟชั่น โนกอกอนอ พูดไปนี่ชักยาวแล้ว ถ้าพูดไปได้ยาวไม่หยุดแน่ เอาเป็นว่า หากท่านใดอยากได้ความรู้จากเอนทรี่นี้ จงข้ามอ่านย่อหน้าสีน้ำเงินไปให้หมดเลย เพราะไร้สาระเกิน กับมาว่าเรื่องแผนการหาเสียงดีกว่า ภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่า Election Campaign อ่านว่า แคมเปญ หรือ แคมเปน ก็ไม่ต่างกันหรอก ถ้าเป็นคำศัพท์ในวงการตลาดก็คือการทำการตลาดสินค้าให้ผู้บริโภคได้รู้จักสินค้านั้นๆแหละครับ และหากผู้ลงสมัครที่ได้รับการเลือกตั้ง ในรัฐบาลแล้ว ผมขอเสนอคำแสลงภาษาอังกฤษคำหนึ่งให้รู้จักหน่อย working in the office ซึ่งความหมายก็คือทำงานในรัฐบาลหรือ เป็นสส. นั่นแหละครับ ไม่ใช่ว่าเขาต้องทำงานแต่ในออฟฟิซนะ และ running for office ก็เป็นการลงสมัครไปเลือกตั้ง เพื่อเตรียมตัวขอไปอยู่ใน ออฟฟิสอีกคนเหมือนกัน -------------------------------------------------------------------------- เอาหละ พูดเรื่องเลือกตั้งนี่ ช่วงนี้ที่อเมริกาก็กำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับเขาอยู่เช่นกัน เพราะสองเหล่าปาร์ตี้ ที่ครื้นเครง ก็กำลังห้ำหั่นกันสุดๆ อ๋อคำว่า พรรคการเมือง เขาเรียกว่า Political Party หรือ Party นั่นแหละ ถ้าหลายพรรคก็อย่าลืมเปลี่ยนเป็นพหูพจน์ว่า Parties ด้วยนะ อย่างที่เรารู้ๆกันว่าที่อเมริกา เขามีพรรคการเมืองใหญ่เพียงแค่ สองพรรคเท่านั้น ไม่ได้เหมือนบ้านเรามีกันไม่รู้กี่พรรค และยังมารวมตัวกันเป็นพรรคร่วมต่างๆนาๆ ซึ่งสองพรรคทางมหาอำนาจก็มี พรรคหัวโบราณเก่าแก่ Replublican ที่ตอนนี้มีนายแก่ผ่านศึก John McCain เป็นหัวเรือใหญ่ และนาง Sarah Palin ติดสอยมาด้วยอีกหนึ่งคน สัญลักษณ์ของพรรคนี้ก็เป็นรูปช้าง อีกพรรคก็คือ พรรค Democrat ที่เป็นพรรคเสรีนิยม นิยมการเปลี่ยนแปลง เป็นคอนเซ็ปตอนนี้ ด้วยคำสั้นว่า "Change" ที่มีหนุ่มไฟแรงผิวสี Barack Obama นำทัพ และผู้เฒ่าหุ่นเซ็กซี่ Joe Biden เป็นรอง Symbol ของพรรคนี้ก็จะเป็นรูปตัว ลา เป็นสัญลักษณ์ อย่างประเทศทางสหราชอาณาจักรอังกฤษเอง ก็จะมีสองพรรคใหญ่ๆสำคัญสองพรรคเช่นกันครับ ซึ่งผมไม่รู้จักรายละเอียกมากนัก เพราะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ ซึ่งพรรคของเขาก็จะมี พรรค Tory และ พรรค Labour แบบเป็นพรรคแรงงานตามชื่อแบบนั้น -------------------------------------------------------------------------- เกริ่นนานแล้ว เวลาเราไปเลือกตั้งจริงๆดีกว่า เราก็ต้องนึกถึง บัตรเลือกตั้ง ด้วยใช่ไหมครับ บัตรเลือกตั้ง ไม่ได้เรียกว่า Election card นะครับ จำไว้ ฮ่าๆๆ อย่าไปปล่อยไก่ขั้นเทพให้ฝรั่งฟังนะ เวลาพูดกับคนตั้งชาติ เขาต้องใช้คำศัพท์ว่า Ballot บัลล้อต ครับ เน้นๆ จำๆ หน่อย รู้จักไว้ด้วย จะได้ไม่ใช่ผิดให้หน้าแตก เวลาเข้าคูหาเลือกตั้งก็เลือกคนที่คุณคิดว่าเขาดี ตามสิทธิของคุณก็แล้วกัน แต่ ถ้าไม่จำเป็น อย่าทำแบบท่านอาจารย์ ท่านนี้เน้อ อย่าทำเลยเถอะ ถ้าไม่อยากเข้าคุก เดี๋ยวได้ดังข้ามคืนพอดี ขอจบเอนทรี่นี้เลยดีกว่า รู้สึกจะยาวไปแระ ยังมีคำศัพท์น่าสนใจอีกหลายคำผมนำมาให้ดูกันไว้อ่านผ่านๆเผื่อจำได้บ้างก็แล้วกันนะครับ elections การเลือกตั้ง general elections การเลือกตั้งใหญ่ เช่นเลือกสส.ทั่วประเทศ eligible voter ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง go to the polls ไปออกเสียงเลือกตั้ง polling station หน่วยลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ballot บัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ballot box หีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง cast a ballot หย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ออกเสียงลงคะแนน poll สำรวจความคิดเห็น exit poll การสำรวจความคิดเห็นจากผู้ที่เพิ่งเสร็จจากการลงคะแนนเสียงทันที run for election ลงสมัครรับเลือกตั้ง constituency เขตเลือกตั้ง proportional representation system ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน political party พรรคการเมือง contest ลงแข่ง ลงสมัครรับเลือกตั้ง bastion ฐานเสียง canvasser หัวคะแนน campaign รณรงค์หาเสียง pledge สัญญา ให้สัญญา populist ประชานิยม referendum ประชามติ การลงประชามติ

ฉันอยากจะแต่งงาน ต้องพูดว่า I want to get marriage หรือ I want to get married

ตอบ I want to get married.

ถ้าชาวต่างชาติถามคุณว่า "How do you do?" คุณจะตอบอย่างไร

ตอบว่า "How do you do?" ครับ เพราะสำนวน How do you do? ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นเพียงคำทักทายสำหรับผู้ที่รู้จักกันเป็นครั้งแรก ซึ่งแปลว่า "สวัสดี" นั่นเอง

If any แปลว่า ถ้ามี

ตัวอย่าง The Company will pay the redemption proceeds and dividend (if any) บริษัทจะชำระค่าขายคืน และเงินปันผล (ถ้ามี) Change Transmission Oil Filter (if any) เปลี่ยนกรองน้ำมันทอร์ค (ถ้ามี )

STREET ENGLISH - What's up !

ตั้งแต่เขียน Street English มา ตั้งแต่สามปีที่แล้ว แล้วผมก็ได้เลิกเขียนไปเป็นเวลานาน มีสำนักพิมพ์ 2-3 แห่งติดต่อผม แต่ผมก็ไม่ได้เริ่มเขียนอะไรเพิ่มเติมให้เขาเลย จนสำนักพิมพ์ล่าสุด ส่งสารบัญ มาให้ผมว่าเขาอยากได้เรื่องพวกนี้ๆเพิ่มเติม ผมก็ไปเห็นว่ามี เรื่องของคำทักทายด้วย ผมนึกว่าตัวผมเองเคยเขียนไปแล้ว แต่พอย้อนกลับมาเปิดบลอก exteen ของผมนี้ ผมถึงเพิ่งรู้ตัว "กรรม นี่เราไม่เคยเขียน คำทักทายเลยเหรอเนี่ย ทำไมตัวเราไม่ได้เรื่องอย่างนี้เนี่ย เรื่องสำคัญซะด้วย" ดูเหมือนผมจะจัดเรียงความสำคัญไม่ถูกซะแล้ว แต่ตอนนั้นเราคงคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่น่าเขียนสำหรับภาษาอังกฤษแนวๆ (นั่น! แถแก้ตัวไปได้) งั้นก็ถือโอกาศนี้ กลับมาปัดฝุ่น Exteen กันอีกครั้งละกัน และถึงพี่แอนจากสำนักพิมพ์พราวด้วยนะครับ ว่าให้พี่รออีกนานนิดหนึ่ง ผมถึงทยอยเขียนเรื่องใหม่ๆเพิ่มเติมในนี้ละกันนะครับ --------------------------------------- ไม่ว่าเราจะเริ่มเรียนภาษาอะไรก็ตาม ตำราแทบทุกเล่มเริ่มสอนคำทักทายก่อนเป็นคำแรกเสมอ แน่นอน ว่าผมคงไม่ไปแหวกแนว เริ่มสอนอย่างอื่น (แต่ก็พลาดไปเสียแล้ว) ถ้าถาม หลายคนว่า คำทักทาย ภาษาอังกฤษ แบบแสลงยอดฮิต ที่ทำให้คุณดูเป็นวัยรุ่นที่สุด แทบทุกคน ตอบผมเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า What's up ! บางคนสร้อยด้วย What's up, man ! แถมมาให้ เจ้าพวกเด็กบางคนล้อเลียนกลายเป็นวัดสเมียน อีกซะงั้น แต่แสลงภาษาอังกฤษ มันมีไม่น้อยอยู่แล้วครับ และทุกคนมักต้องทักทาย เมื่อเจอกัน คำทักทายยังไงก็ต้องใช้กันแทบทุกวัน ภาษามันก็ไปได้เรื่อยๆของมัน เกิดแสลงอีกหลายคำมากมาย และผมจะนำเสนอคำเหล่านั้น มาเพิ่มเติมในบทนี้แหละครับ แค่ต่อยอดจาก What's up คำเดียวก็ยังมีธีการออกเสียงอีกหลายแบบของวัยรุ่น เช่น What up! (ไม่ต้องออกเสียง s) waddup ออกเสียง d แทน บ้างก็สะกดแบบ whassup whazzup เน้นเสียง s ไปเลย และสั้นๆได้ใจความก็พูดแค่ Sup! เฉยๆคำเดียวก็เข้าใจครับ คำทักทายของวัยรุ่นอเมริกันมีอีกมากครับ เช่น Yo ! หรือ Hey ! สั้นๆคำเดียวก็ถือเป็นการทักทายแล้ว A-Yo อ่านว่า เอ้โหย้ะ ----------------------------------------------- Holla ! เป็นอีกคำยอดฮิตเหมือนกันครับ วิธีการใช้ยังมีอีกแยกย่อยเยอะด้วย นอกจากมันใช้เป็นคำทักทายแล้ว ยังแปลว่า จีบสาว ได้ด้วย เมื่อเติม at เข้าไป เช่น Watch out! I'm bout to holla at this fine bitch. ดูนะ, ฉันจะเข้าไปจีบแม่สาวฮอทคนนี้ล่ะ อีกความหมายของ Holla ก็แปลว่า การโทรศัพท์ ด้วยครับ (รวมถึง อีเมล์ หรือ จะ บีบีกันก็ไม่ผิดธรรมเนียมเช่นกัน เพราะวัฒนธรรมอเมริกันตอนนี้ เขาบอกมาว่า เด็กอเมริกัน เฉลียกดข้อความโทรศัพท์กว่าร้อยครั้งต่อวัน !!! เอ่อ น้องออกนัดไปคุยกันเลยดีกว่าไหม บางทีอยู่โต๊ะเดียวกัน มันยังไม่คุยด้วยละมัง) เช่น I gotta go home now, holla at me tonight, okay? ฉันต้องกลับบ้านแล้ว โทรมาหาคืนนี้ด้วยนะ Can I holla at you? ฉันจะโทรไปหาเธอได้ไหม ไม่หมดแค่นั้น คำนี้แปลว่า สุดยอด ดี เยี่ยมอีก (อะไรจะสารพัดประโยชน์ จริงๆ) Look at those ladies, Holla.. ดูสาวๆกลุ่มนั้นสิ ว้าวว บางครั้งอาจจะตอบกลับว่า Holla back ก็ได้ Holla back คำนี้ก็ยังเป็นประโยคปิดการสนทนา หรือการบอกลา ด้วย อีกหน่อยผมคงต้องเพิ่มเนื้อหาการบอกลาด้วยแล้ว (รู้สึกว่าคำเดียว ซับซ้อนมากเหลือเกิน) ล และผมเชื่อว่าหลายคน คงอยากถามผมว่า Holla back girl ละแปลว่าอะไร เพราะหลายคนได้ยินคำนี้จากเพลงของ Gwen Stefani กันจนติดหูกันทั้วบ้านทั้วเมืองไปแล้ว คำนี้ แปลว่า ผู้หญิงที่ยอมผู้ชายทุกอย่างครับ เธอเปรียบเป็น doormat หรือ booty call ที่ให้ผู้ชายสั่งอะไร เธอก็ยอมทำตามครับ ในเนื้อหาเพลงของ Gwen เธอร้องว่า I ain't no holla back girl ก็แปลว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบ holla back girl นั่นเอง อีกประโยคยอดฮิตที่ได้ยินประจำก็ยังมี Holla at cha boy ซึ่งเป็นคำทักทายอีกแบบของวัยรุ่นครับ ใช้บอกลาก็ได้เหมือนกัน ------------------------------------------- คำทักทายแบบอื่นๆ อีกมากมายให้ได้ใช้ ผมขอเพิ่มเติมให้ละกัน How're you doing? - ได้ยินปกติทั่วไปครับ How's it going? How's it hangging - คำนี้ส่วนมากระหว่างผู้ชายครับ What's happening ? What's going on? What's clickin? และ What's craking? - คำนี้เคยได้ยินจากหนังเรื่อง เพอร์ซี แจ็คสัน กับสายฟ้าที่หายไป ด้วยครับ What's in the bag? - ความจริงผมไม่เคยได้ยินหรอกนะ แต่เคยเห็นข้อมูลเขาว่ากันมา What's poppin? What's the dilly หรือ What's the dill ผันมาจาก What's the deal อีกที Word up? - คำนี้เคยเขียนในบทก่อน เรื่อง การเห็นด้วย

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 4 การให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในเรื่องที่นำเสนอ (Getting the Listeners Involved)

ถึงแม้จะมีการใช้ทัศนูปกรณ์มาช่วยให้การนำเสนอน่าสนใจมากขึ้น แต่การใช้รูปภาพ สไลด์ แผ่นใส ฯลฯ อาจไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นสไลด์หรือแผ่นใสที่เต็มไปด้วยตัวเลขหรือกราฟชนิดต่างๆ ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างการนำเสนอจึงควรมีวิธีอื่นกระตุ้นความสนใจของผู้ฟังด้วย และวิธีที่ดีวิธีหนึ่งคือ การตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆเป็นระยะๆ เพื่อทำให้ผู้ฟังคิดตามและได้เกิดความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการนำเสนอนั้นด้วย โดยการตั้งคำถามนั้นมักจะกระทำหลังจากที่ได้ยกเอาประเด็นสำคัญขึ้นมาพูดแล้ว ตัวอย่างเช่น ประเด็น Production was down last quarter. คำถาม How can we explain this? How will this affect ...? What can we do about it? What's the explanation for this? What are the implications for ...? What's behind this ...? What does that tell us? Does it imply/mean that ...? What does this mean to us? Why was that? How did it happen? What caused this? Are there reasons behind this? What are we going to do about this? What step should we take to change this? ในกรณีที่เรื่องที่นำเสนอนั้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือการลงทุนในโครงการใหม่ ลักษณะของคำถามก็จะแตกต่างออกไปตามประเด็นที่นำเสนอ เช่น ประเด็น We've come out with a new product. หรือ That's why we've come up with this project. คำถาม Will it benefit us in anyway? What are its advantages? What will it do for us? ประเด็น That's why we've come up with this project. What do we stand to gain from this? How is its future prospect? Will it work? What's the chance of success? Will it be well received? Can be we sure of its success? ตัวอย่างการตั้งคำถามระหว่างการบรรยายเพื่อให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้คงความสนใจในเรื่องที่เรากำลังพูดอยู่ The chart shows a sharp decline in sale between summer months. How can we explain this? Despite our market expansion, the demand for our products was down in the last quarter. What was that? Our expensive marketing campaign did not even boost up our sale one bit. What does that tell us?

ถ้ามีคนถามคุณว่า "Do you have a Dutch wife at home?" คุณเข้าใจความหมายของคำนี้อย่างไร

ถ้าคุณเข้าใจว่า "คุณมีภรรยาชาวฮอลแลนด์หรือเปล่า" แสดงว่าคุณเข้าใจผิด! เพราะคำถามนี้หมายความว่า "คุณมีหมอนข้างที่บ้านหรือเปล่า" a Dutch wife = a bolster แปลว่า หมอนข้าง

Don't just give ear but you should be all ears ถ้ามีคนพูดอย่างนี้กับคุณ คุณเข้าใจประโยคนี้ว่าอย่างไร "อย่างเพียงแต่ให้หู แต่ คุณควรเป็นหูทั้งหมด" คุณแปลอย่างนี้หรือเปล่า?

ถ้าคุณแปลอย่างนี้แสดงว่าคุณเข้าใจผิดสุด ๆ สำนวนนี้แปลว่า "เวลาฟังอะไรอย่าสักแต่ว่าฟัง คุณควรจะฟัง อย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเก็บมาคิดใคร่ครวญ"

STREET ENGLISH - izzle สระที่ฮิตและแนวที่สุด

ถ้าใครที่เรียนภาษาอังกฤษมา อาจเคยเจอเรื่อง Prefix หรือ Suffix หยุด !! หยุดๆ อย่าเพิ่งทำหน้า ยี้ ที่นี่ไม่ได้จะมาสอนแกรมมาร์ ที่น่าเบื่อ ที่เห็นเปิดอ่านทีไร กรูล้มฟุบเมื่อนั้น ลองอ่านไปก่อน เถอะ แต่ก็ขอเกริ่นก่อนละกัน ที่เราเคยเรียนมาว่า Prefix คือ คำที่เติมข้างหน้าคำอื่นของภาษาอังกฤษ Suffix คือคำที่เติมท้าย (เจ้าของบลอกจะรีบอธิบายไปทำไม กลัวคนเบื่อเหรอไงวะ) และถ้าคุณยังงงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ก็ช่างหัวมันซะ เพราะไม่มีอะไรสำคัญกับเอนทรี่นี้เลย (แล้วเมิงจะเขียนอธิบาย ทำส้น*นอะไร) บทนี้ Street English ขอเสนอ Suffix ใหม่ (ที่ไม่ใหม่มากหรอก มีมาหลายปีแล้ว) ที่หนังสือเรียน หรือตำราเล่มไหน ไม่เคยมีจารึกไว้ รวมถึงตามเวบไทยเรา ที่นี่เป็นที่แรก (มั่นใจจังนะไอ้เจ้าของบลอก) ที่จะแฉความรู้นี้ออกสู่สาธารณะ ไม่ติดเรทฉ.ฉิ่งเหมือนเรื่องก่อนหน้าทั้งหลาย ย้อนกลับไปเอนทรี่ เรื่องที่เคยเขียน ใน ภาษาวัยรุ่นอเมริกันเมื่อเห็นด้วย จะมีคำเด็ดคำหนึ่ง ที่เขียน Fo Shizzle ที่ วิบัติมาจาก For sure ในการตอบตกลง ใช่ แน่นอน เจ้าสระ -izzle นี่แหละที่ผมจะพูดถึง มันเริ่มมาจาก นักร้องแรป Snoop Dogg ที่บัญญัติ (พูดง่ายๆ ว่าเมิงวิบัติมากกว่า) ภาษาการพูดของเขา จนฮิตจนถึงปัจจุบัน ประโยคที่ นิยมมากที่สุดก็คือ Fo' shizzle my nizzle. ที่ย่อมาจาก For sure, my *****. ***** ก็คือคนผิวสีนะแหละครับ แต่เวลาพูดก็ระวังด้วย เพราะคนผิวสีถือว่าเหยียดผิวเขา แต่พวกคนผิวสีกลับใช้มันมากกว่าใครที่สุดเลย หรือที่เคยเขียน ในคำทักทายWhat is up!? ที่มีประโยค What's the deal? ก็ผันเป็น What's the dizzle? ได้อีก อ่า งงละสิ งั้นมาดูวตัวอย่างว่ามันจะมีอะไรได้อีก bizzle - bitch dizzle - deal ใน What's the deal? เป็นการทักทาย เหมือน What's up? dude ที่ แปลว่าเพื่อน เช่น What's up, my dizzle (dude)? drink เช่น Do you want to get some dizzle (drink)? fizzle - fool หรือ ไอ้งั่ง hizzle - house เช่น What's the shizzle at the hizzle my nizzle? แปลว่า What's happening at your house, my friend? (งงกันละดิ) อีกคำก็มาจาก สำนวนสุดแนวที่เคยเขียน Off the hook ที่แปลว่า เจ๋ง ยอดเยี่ยม Awesome!! เช่น This blog is off the hizzle (hook)!!! บลอกนี้ เจ๋งไปเลยหวะ (ของมันแน่นอนอยู่แล้ว น้องเอ้ย ไม่เชื่อถามคนอ่านเดะ!) rizzle - อีกคำที่นิยมไม่แพ้ Fo shizzle แต่อันนี้ มาเป็น Fo' rizzle มาจาก For real แปลว่า จริง ถูกต้อง แน่นอน พอหอมปากหอมตูดกันละ ถ้าซักวันได้เจอคำอื่นๆ ก็ต้องใช้การเดาแล้วว่า ผู้สื่อ สื่อแทนคำอะไร แต่อย่าลืมประโยคเด็ด Fo' shizzle ma nizzle. เพราะเดี๋ยวนี้เริ่มเพี้ยนหนักเข้าไปอีก กลายเป็น Fo' sheezy my neezy ที่ผันจาก Fo shizzle my nizzle ที่มากจาก Fo sho my ***** ที่มาจาก For sure my negro ที่มาจาก I concur with you, my African American brother ...โอ้ย มันจะผันอะไรกันตั้งมากมายซากอ้อย อย่างนี้ฟะ !!!!!! ถึงแม้จะดูไม่น่าสำคัญ แต่ความจริง ในเพลงป๊อปปัจจุบัน หรือเพลงฮิพฮอพ มีให้ได้ยินในสมัยนี้แน่ครับ ปุจฉา: งั้นถ้ามันยังผันเป็น -eezy แสดงว่าคำอื่น มันก็ต้องผันได้เหมือนกันใช่ปะ วิสัชนา: Fo' sheezy, my neezy. Isn't this off the heezy?

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 12 การดำเนินการประชุม-3 (Conducting the Meeting-3)

นอกเหนือไปจากการกำกับดูแลให้การประชุมดำเนินไปตามขั้นตอนแล้ว ผู้ทำหน้าที่ประธานของการประชุมยังจะต้องรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในระหว่างการประชุมด้วย ซึ่งในการนี้อาจจะต้องคอยเตือนไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมบางคนแย่งกันพูดหรือพูดนานเกินควร คอยแทรกเข้ามาเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อาจสร้างความสับสน หรือเสนอทางเลือกหรือหนทางปฏิบัติที่จะทำให้การประชุมดำเนินต่อไปได้ในกรณีที่เกิดความคิดเห็นขัดแย้งกันระหว่างผู้เข้าร่วมประชุม เมื่อมีผู้ร่วมประชุมแย่งกันพูด One at a time, please. We can't listen to everybody speaking at once. Why don't we let Diane give us her views first, followed by Jay and then Jeff? We can't all speak at once. Michael first, then Lisa, then Stuart. Let's listen to Vivian first, then Mark. เมื่อมีผู้พูดนานเกินควร Well, thank you, Doris. I think that's quite clear. Could we have some other opinions? You've made that very clear, Charlie. Thank you. Anybody else? Thank you, John. I think we've all got the point now. Let's move on. I think all of us here now have a clear idea of what Chris has just told us. Thanks, Chris. Shall we move on? การเข้ามาแทรกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน I'm afraid there seems to be some misunderstanding here. If I may just interrupt you for a moment here, I think ... . I don't want to interrupt, but can I just say that ... . Could I come in there for a moment, please? Could I just make a few comments, please? การเสนอทางออกในกรณีที่เกิดความคิดเห็นขัดแย้ง/การหาทางประนีประนอม I think it's a good idea to take a break now. Why don't we just take a break now? Each/Both side(s) has/have a point. Why don't we ...? Maybe we could come to some sorts of solution by combining each side's idea/suggestion. The ideas/suggestions are all very good and deserve our attention.

STREET ENGLISH - ภาษาอังกฤษจากหนัง "Despicable Me"

นานมากแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้นำเอา Trailer จากหนังมา ให้ลองฟังเสียงภาษาอังกฤษ พร้อมดูสำนวนเลย ครั้งนี้เอาเป็นการ์ตูนมาให้ฟังละกันครับ หรือใครอยากขอ Twightlight ก็บอกได้นะ แต่เท่าที่ดูมันไม่ได้มีสำนวนมากมายนัก แต่ยอมรับว่า ภายในหนัง Twiglight นี่ มีสำนวนวัยรุ่นเยอะด้วย ในตัวละครเพื่อนๆในโรงเรียนของนางเอกเนี่ย เช่น What's craking? หรือ Chillax เอ้ะหรือไม่เคยเขียนหว่า Chillax = Chill + Relax ที่แปลว่า ใจเย็นๆ ทำตัวสบายๆ ชิวๆ รีแลกซ์ด้วยพร้อมๆกัน แต่ช่างเหอะ วันนี้เขียนเรื่องอื่นนี่ Despicable แปลว่า เลวทราม น่าเหยียดหยาม ดูหมิ่น สรุปคือเรื่องนี้ตัวเอก เป็นตัวร้ายนะเอง 1 ประโยคแรกเลย Freeze - แช่แข็ง เอ่อ ตรงไปเปล่า ไม่ใช่แระ แต่ต้องได้ยินทุกครั้งๆในหนังที่มีตำรวจ ชี้ปืนไปที่คนร้ายพร้อมบอกให้หยุดว่า Freeze! เสียงเกริ่นหนังบอกว่า For Gru, being a supervillain isn't easy. villain - แปลว่าตัวร้ายครับ แหละตัวร้ายระดับ Gru ในหนังนี้ เป็น supervillain เลยนะ --------------------- 2 Gru : We stole the Statue of Liberty...! เราได้ขโมยเทพีเสรีภาพมาแล้ว ! Gru : ...the small one, from Las Vegas! อันเล็กจากที่ลาสเวกัส เจ้าเหล่าลูกสมุน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Minion เติม s ด้วยนะ เพราะมีเป็นร้อยเลย --------------------- 3 และเขาก็กำลังจะต้อง inherit ตัวปัญหาสามตัวในบ้านของเขา inherit แปลว่า รับมรดก หรือ รับช่วง สืบทอดต่อ Gru: You will not cry, or sneeze or barf or fart! No annoying sounds เธอจะต้องไม่ร้องไห้ ไม่จาม ไม่อาเจียนอ้วก ไม่ตด!!! ห้ามมีเสียงน่ารำคาญเด็ดขาด เด็ก: Does this count as annoying? แล้วนี่นับเป็นเสียงน่ารำคาญมั๊ยคะ (เอามือตีกระพุ้งแก้ม โบะ โบะ โบะ โบะ...) --------------------- 4 Gru: We are going to pull of the true crime of the century... we are going to steal the moon! เราจะสร้างสุดยอดอาชญากรรมของแท้แห่งศตวรรษ... เราจะขโมย ดวงจันทร์!!! I shrink the moon, I grab the moon, I sit on the toilet bowl... what? ฉันย่อส่วนดวงจันทร์ ฉันคว้าดวงจันทร์ไว้ ฉันนั่งอยู่บนโถส้ม เหออะไรนะ!? เด็กๆ: Hehe.... You're funny กั๊กๆ คุณนี่ตลกจังเลย --------------------- 5 ตัวร้ายอีกตัว: When I'm done with Gru, he's gonna be begging for mercy! เมื่อฉันจัดการกรูได้เมื่อไหร่ มันจะต้องมาขอความปราณีจากฉันแน่ --------------------- 6 ด็อกเตอร์แก่ๆ: We have to warn him, and fast! เราต้องรีบไปเตือนเขาแล้ว ด่วนเลย!! ---------------------- 7 Gru: "Three little kittens started to yawn..." และลูกแมวทั้งสามก็เริ่มหาวง่วงนอน เด็กน้อย: Now make them drink the milk. คราวนี้ทำให้พวกมันดื่มนมด้วยคะ Gru: Wow, this is garbage! You actually like this? ว้าว นี่มันขยะชัดๆ พวกเธอชอบอย่างนี้จริงเหรอนี่ ----------------------- 8 It's so fluffy, I'm gonna die! มันปุกปุยเหลือเกิน อยากได้มากมากเลย All you got to do is knock that spaceship over there ที่เธอต้องทำก็คือยิงปืนชนะเกมนี้เอง เด็กๆเล่นแล้วก็แพ้ เจ้าคนเฝ้า ก็บอกว่า Oh! Someone's got the frowny face. โอ้ ดูเหมือนบางคนจะหน้านิ่วคิ้วขมวดซะแล้วนะ Gru: Okay, MY turn... (บูม) Knocked OVER! โอเค ตาฉันบ้างละ.....เรียบร้อยกระเทียมเจียว!! เด็กกอดตุ๊กตาไว้แล้วร้อง: It's so FLUFFY! มัน ปุ๊กกะปุยมากเลย!!!! เพิ่มเติม ตุ๊กตาแบบนี้ ภาษาอังกฤษเรียก Plush toy นะครับ -------------------------------------- อิอิ เจ้าของบลอคยังไม่ได้ไปดูหนัง เลยยังไม่รู้ชื่อตัวละครอื่นๆครับ แต่เดี๋ยวไปดูบ้างดีกว่า ประโยคเด็ดวันนี้ I'm gonna die เมื่อคุณชอบอะไรมากๆ อยากได้จนแทบจะละลายเลย Look at the Lava. It seems so yummy, I'm gonna die! (เค้กจากร้าน After You อร่อยมากๆเลยครับ แฟนผมรักมันเลยละ) น่ากินมากไม่ไหวแล้ว!!

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 3 การใช้ทัศนูปกรณ์ (Using Visual Aids)

บ่อยครั้งที่การนำเสนอทางธุรกิจจำเป็นจะต้องมีการนำภาพ ตัวเลข กราฟ ตลอดจนข้อความต่างๆมาแสดงควบคู่กันไปเพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพได้ชัดเจนและเข้าใจในสิ่งที่ถูกนำเสนอได้สะดวกขึ้น ในระหว่างการใช้ทัศนูปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายแผ่นใส โปสเตอร์ ตลอดจนวีดิโอ และคอมพิวเตอร์ จึงควรมีคำพูดแบบต่างๆไว้เพื่อดึงความสนใจและชักชวนให้ผู้ฟังมองไปที่จุดซึ่งเราต้องการดังต่อไปนี้ คำพูดชักชวนให้มองภาพ Now, I'll show you the ... If we now turn to the ... If you look at the screen you can see ... คำอธิบายรวมเกี่ยวกับภาพ This chart compares/contrasts/illustrates ... The graph shows ... You can see here ... In my first slide, I'd like to show you ... This diagram/graph/table shows ... The next slide shows ... การอธิบายเกี่ยวกับองค์ประกอบในภาพ As you can see from the graph, ... The upper part of the slide gives information about ... If you look at the top/bottom you can see ... The left/right side shows ... On the left/right is ... The first row/column contains ... Now, let's look at the position for ... Let's move on now and look at the figures of ... การมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นสำคัญ As you/we can see ... This is the ... Here is the ... For example ... This clearly shows ... This is important because ... What is interesting/important is ... I'd like to draw your attention to ... Notice/Observe the ... It is important/interesting to notice that ... สถานการณ์ตัวอย่าง Now, I'll show you the slides to back up the points I've just made. This graph shows the amount of sale for each twelve months last year. As you can see from the graph, there is an increasing trend. This clearly shows that our product has been gaining popularity among consumers ...

Bused vs Bastard vs Busted?

ปัญหาอย่างหนึ่งที่คนไทยเราเจออยู่บ่อยๆในการดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ (โดยไม่มี Subtitle) ก็คือ พวกเรามักจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดผิดไปจากความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ผมกำลังดูหนังเรื่องหนึ่งกับเพื่อนอีก 2-3 คน มีอยู่ฉากหนึ่ง พระเอก (ซึ่งเป็นโจร) พยายามหนีตำรวจขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทาง แต่สุดท้าย เขาก็หนีไม่พ้น ก่อนที่พระเอกของเราจะโดนตำรวจจับใส่กุญแจมือ เขาก็พูดออกมาว่า "Fu*k! บัสติด!" ตรง "บัสเต็ด" นี่แหละครับที่จุดที่เพื่อนผม 2-3 คนเถียงกันอยู่นานกว่าจะได้ข้อยุติ คนหนึ่งบอกว่า "บัสติด" => Bus เติม -ed ต่อท้าย เมื่อนำคำๆนี้ไปเติมในประโยคข้างต้น คำพูดของพระเอกก่อนโดนจับก็จะแปลประมาณว่า "เวรเอ๊ย! ไอ้รถเมล์เฮงซวย!" คนที่สองบอกว่า "บัสติด" => Bastard เมื่อนำคำๆนี้ไปเติมในประโยคข้างต้น คำพูดของพระเอกก่อนโดนจับก็จะแปลประมาณว่า "เวรเอ๊ย! ไอ้สารเลว!" คนที่สามบอกว่า "บัสติด" => Busted เมื่อนำคำๆนี้ไปเติมในประโยคข้างต้น คำพูดของพระเอกก่อนโดนจับก็จะแปลประมาณว่า "เวรเอ๊ย! โดนจับซะแล้ว! หลังจากที่เพื่อนๆของผมเถียงกันเรื่องนี้นานเกือบ 15 นาที พวกเขาก็ตัดสินใจเปิด Subtitle ดูคำตอบ ปรากฏว่า "บัสติด" => Busted ปล. "บาสเติร์ด/แบสเติร์ด" => Bastard ปล2. "บัสด์" => Bused ปล3. Bused ไม่ได้แปลว่า "รถเมล์เก่าๆย้อนยุคในอดีต" นะครับ มันแปลว่า "เดินทาง" หรือ "ทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์" หรือ "เก็บจานอาหาร" ต่างหาก

ถูกหรือผิด / Thai to Eng

ผมจะโทรหาคุณภายหลัง I will call you later / I will phone you later I cannot speak English คืออยากพูดแต่พูดไม่ได้ I don't speak English คือพูดได้ แต่ไม่อยากพูด ผมกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนงาน I am thinking of changing my job (ถูก) I am thinking to change my job (ผิด) ผมเบื่อวิชานี้ I am bored in the lessons ผมเป็นคนน่าเบื่อในวิชานี้ I am boring in the lessons เขา/ หล่อน มีเงินเยอะมาก He/ She has a lot of money ที่นี่ฝนมักตกบ่อยๆ It often rains here ได้โปรด ฟังผมหน่อย Please listen to me คุณไม่เคยฟังผมเลย You never listen to me เมนูอาหาร Menu (แต่ฝรั่งมักจะออกเสียงว่า เมนิว) เรียกให้บ๋อยมาเก็บเงิน บอกว่า Bill please ก็พอแล้ว ไม่ต้องตะโกนบอกว่า เช็คบิล นะครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาที่นี่ This is the first time I have been here ได้โปรดอธิบายให้ผมทราบหน่อยว่า ท่านต้องการอะไร Please explain to me what you want ผมอยากจะไปตัดผม (เพราะเราไม่ได้ตัดเองให้คนอื่นตัด) I would like to get my hair cut (ถูก) I am going to shop for cut my hair (ผิด) ผมอยากจะไปถ่ายเอกสาร (เพราะเราไม่ได้ถ่ายเอง) I would like to get my paper copied คุณดูไม่เหมือนคนไทย You don't look like Thais คุณไม่ชอบคนไทย You don't like Thais Where have you been ? คุณไปไหนมา How have you been? เป็นไงบ้าง สบายดีไหม What are you doing? กำลังทำอะไรอยู่เหรอ How are you doing? เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ถ้าฉันเป็นคุณนะ ฉันจะ...... If I were you I will...(ถูก) If I am you I will... (ผิด) เขา/ หล่อน ได้แต่งงานกับหมอ He / She has married to a doctor (ถูก) He / She has married with a doctor (ผิด) ผมเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ I am surfing the internet แต่หากจะบอกว่ากำลังเล่นเกมอยู่ ใช้คำว่า I am playing ได้ ปิดไฟ Please turn off the light เปิดไฟ Please turn on the light. ปิดประตู Please close the door. วิทยุ / เทป Turn up เร่งเสียง Turn down เบาเสียง บางคนชอบพูดว่าYou down sound ซึ่งผิด จะบอกว่าคุณไม่เก่งอะไรบ้างในภาษาอังกฤษ I am weak in grammar, conversation and listening ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ตรงข้ามบ้านผม The post office is opposite to my house ถ้ามีเงินเยอะ ก็ให้ผมยืมบ้างนะ If you have a lot of money. Please lend me some. wanna มาจากคำว่า want to เช่น I wanna go home = I want to go home gonna มาจากคำว่า going to เช่น I'm gonna meet her = I am going to meet her gotta มาจากคำว่า have got to เช่น I gotta go = I have got to go (อาจารย์ฝรั่งที่สอนผมหลายคน บอกว่า *****ห้าม***** นำคำเหล่านี้ไปเขียนหนังสือเชิงวิชาการหรือจดหมายเกี่ยวกับบริษัท แต่หากจะเขียนถึงเพื่อนสนิทกันมากได้) Absolutely และ Of course สามารถใช้แทนคำว่า Yes ได้ ส่วนคำว่า Yeah มักจะใช้กับคนที่สนิทกันจริงๆ

คำว่า Mind ในประโยคคำถาม

ผมรู้สึกว่ามีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่คิดว่า Can I smoke? กับ Do you mind if I smoke? เป็น 2 ประโยคที่มีลักษณะเหมือนกันเป๊ะๆ พูดง่ายๆก็คือ พวกเขาคิดว่าทั้ง 2 คำถามในข้างต้นแปลว่า "ผมสูบบุหรี่ได้ไหม?" (Smoke = สูบบุหรี่) กันทั้งคู่ ซึ่งมันก็เป็นการแปลที่ไม่ผิดไปจากความจริงเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ปัญหาจะเกิดขึ้นทันทีที่เมื่อพวกเขาต้องตอบคำถามดังกล่าว พวกเขามักจะคิดว่า ถ้าพวกเขาตอบว่า Yes นั่นแสดงว่าพวกเขากำลังอนุญาตให้ผู้ถามสูบบุหรี่ได้ ในขณะที่ถ้าพวกเขาตอบว่า No นั่นแสดงว่าพวกเขาไม่อนุญาตให้ผู้ถามสูบบุหรี่ การยึดหลักในข้างต้นจะทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง ถ้าหากผู้ถามเขาถามด้วยคำถาม Can I smoke? อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผู้ถามเขาถามด้วยคำถาม Do you mind if I smoke? สถานการณ์จะกลับหัวกลับหางขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากพวกเขาตอบว่า Yes นั่นแสดงว่าพวกเขาไม่อนุญาตให้ผู้ถามบุหรี่ ในขณะที่ถ้าพวกเขาตอบว่า No นั่นแสดงว่าพวกเขาอนุญาตให้ผู้ถาม เพราะฉะนั้น คำว่า Mind ในประโยคคำถามนี่ต้องระวังให้ดีนะครับ เพราะมันสามารถทำให้ความหมายของคำตอบของคุณพลิกจากหน้ามือกลายเป็นหลังเท้าได้เลยทีเดียว

Some & Any ต่างกันนิดเดียวเองง่ะ

ผมว่าหลายๆ คนอาจจะหลงทางกับคำว่า some กับ any มาไม่มากก็น้อย ใช้มั่วกันไปหมด แต่จริงๆ แล้วมันเหมือนการใช้ความรู้สึก กับ สามัญสำนึกตอบเสียมากกว่า ซึ่งหลักการที่ได้เปรยเอาไว้ก็คือว่า... 1) Some กับ Any ใช้ได้ทุกกรณีทั้งนับได้กับนับไ่ม่ได้ 2) ใช้ Some ในกรณีที่ให้ความรู้สึกเป็น (+) เช่น I have some friends. 3) ใช้ Any กับความรู้สึก (-) หรือ ประโยคคำถาม เช่น - Do you have any cheese? - He doesn't have any friends in Chicago. ข้อยกเว้น!!!! เราใช้ "some" ในประโยคคำถามเมื่อต้องการ "เสนอ" หรือ "ร้องขอ" ในสิ่งที่มีอยู่ เช่น.. - Would you like some bread? (เสนอ) - Could I have some water? (ร้องขอ) แถมท้าย SOMEBODY, SOMEWHERE, SOMETHING = ใช้เหมือน Some เช่น He lives somewhere near here. ANYBODY, ANYWHERE, ANYTHING = ใช้เหมือน Any เช่น - Do you know anything about that boy? - She doesn't have anywhere to go.

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 13 การร่วมประชุม-1 (Participating-1)

ผู้เข้าร่วมประชุมย่อมมีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเอง ตลอดจนแสดงความเห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย หรือความไม่แน่ใจว่าเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งการพูดในแต่ละสถานการณ์นั้นพอจะแบ่งออกได้ดังนี้ การแสดงความคิดเห็นของตนเอง ในกรณีที่มีความเชื่อมั่นมาก I'm sure/convinced that ... . I feel quite/very sure that ... . ในกรณีทั่วๆไป I believe/think that ... . As I see it ... . The way I see it is that ... . ในกรณีที่ยังไม่มีความมั่นใจมากนัก It seems to me that ... . I tend to favor the idea/view/approach that ... . I'm inclined to think that ... . การเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นด้วยอย่างยิ่ง I'm in complete agreement (with ...). I quite agree (with ...). I couldn't agree more (with ...). I agree. ในกรณีทั่วๆไป I think you're right. That's right/true. การไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง I disagree completely (with ...). That's out of the question. ใช้ในกรณีทั่วๆไป I don't agree (with ...). I think you're wrong. I disagree (with ...). That's not how I see it. ในกรณีที่ยังมีข้อสงสัยหรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ I agree (with Ken) up to a point but ... . I (can/do) see your point but ... . I suppose you're right but ... . That's (quite) true. However, ... . Yes, but ... . สถานการณ์ตัวอย่าง การแสดงความคิดเห็นของตนเอง I'm convinced that the deal will fall through. As I see it, expension will be costly during this time. It seems to me that the drop in sale does not result from the lack of promotion campaign. การเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้อื่น I'm in complete agreement with what Jeff's just said. I quite agree with Jon's suggestion. I couldn't agree more with the plan we have. การไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้อื่น I disagree completely with the merger plan. I don't agree with your suggestion. I disagree with what you've just proposed. ในกรณีที่ยังมีข้อสงสัยหรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ I agree with Scott up to a point, but I think there are some issues that need to be discussed fouther. I do see your point, but I am not quite certain that the result will be as we expect. Yes, but will that be the only option we have.

Revenge VS Vengeance VS Avenge

มีช่วงหนึ่งประมาณ 3-4 ปีก่อน ผมบ้าหนังและนิยายจีนกำลังภายในมาก เป็นที่รู้กันนะครับว่าหนังและนิยายพวกนี้ ไม่มีแม้แต่เรื่องเดียวที่จะไม่มีการแก้แค้นกัน ดังนั้น คำว่า "แก้แค้น" ในภาษาอังกฤษจะเป็นคำที่ผมเจอเป็นประจำเวลาดูหนังจีนกำลังภายใน (โดยปกติแล้ว เวลาดูหนัง ผมจะชอบเสียงใน Film มากกว่าเสียงทีมงาน "พันธมิตร" ผมจึงดูพากย์จีนที่มี Subtitle เป็นภาษาอังกฤษแทนที่จะดูพากย์ไทยครับ) จากการดูหนังจีนกำลังภายในมาหลายเรื่อง ผมพบว่าคำภาษาอังกฤษที่มีความหมายแนวๆ "แก้แค้น" นี้ มันมีอยู่หลายคำเหมือนกัน 3 คำที่ผมเจอบ่อยที่สุด คือ Revenge, Vengeance และ Avenge 3 คำนี้มันต่างกันอย่างไร? Revenge เป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา ถ้าเป็นคำนาม มันจะแปลว่า "การล้างแค้น" ในขณะที่ถ้าเป็นคำกริยา มันจะแปลว่า "ล้างแค้น" Vengeance ทำหน้าที่เป็นคำนามได้เพียงอย่างเดียว ความหมายและการนำไปใช้ของคำว่า Vengeance และคำว่า Revenge (ในกรณีที่ Revenge ทำหน้าที่เป็นคำนาม) จะเหมือนกันทุกประการ ส่วนคำว่า Avenge นี่ออกจะพิเศษอยู่สักหน่อย คำๆนี้ทำหน้าที่เป็นคำกริยาได้เพียงอย่างเดียว แต่แม้ว่าความหมายของคำว่า Avenge กับคำว่า Revenge (ในกรณีที่ Revenge ทำหน้าที่เป็นคำกริยา) จะคล้ายกัน แต่มันไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียวนะครับ I will revenge my brother. = ฉันจะแก้แค้นพี่ชายของฉัน (กล่าวคือ ฉันจะฆ่าพี่ชายของฉันเพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับใครสักคน) I will avenge my brother. = ฉันจะแก้แค้นให้พี่ชายของฉัน (กล่าวคือ ฉันจะฆ่าใครสักคนเพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับพี่ชายของฉัน) คู่ Revenge (เมื่อเป็นคำนาม) กับ Vengeance นี้ ผมคิดว่ายังไม่ค่อยน่างงเท่าไหร่ แต่คู่ Revenge (เมื่อเป็นคำกริยา) กับ Avenge นี้ เวลาใช้ คงต้องระวังกันหน่อยนะครับ (ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวฆ่าผิดคน)

interest, interesting, interested

มีบ่อยครั้งที่เรามักจะงง กับ กริยาประเภทที่มักจะแปลว่า ทำให้.... เช่น interest, interesting, interested, etc. ซึ่งทำให้บางคนแปลผิด และพูดผิดบ่อยๆ 1.ศัพท์จำพวกนี้ได้แก่ Interest สนใจ bore เบื่อ confuse สับสน delightยินดี please พอใจ puzzle งง convince เชื่อ tire เหนื่อย etc. หากพบอยู่ในรูปแบบธรรมดา โดยไม่มี -ing หรือ -ed ต่อท้าย ให้แปลว่า ทำให้.....เช่นคำว่า This picture interest me. รูปนี้ทำให้ผมสนใจ กริยาตัวอื่นก็เหมือนกันครับ 2.กริยาจำพวกนี้หากเติม ing ต่อท้าย ต้องแปลว่า น่า........เช่น คำว่า boring (ซึ่งคนค่อนข้างใช้ผิดเยอะ) My wife is boring. เมียของผมน่าเบื่อหน่าย (แต่หากจะบอกว่าผมเบื่อ ต้องใช้ คำว่า I am bored. ไม่ใช่ I am boring. ผมเป็นคนน่าเบื่อหน่าย) This book is interesting. หนังสือเล่มนี้น่าสนใจ This Japanese movie is interesting. หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้เข้าท่าแฮะ อีกตัวอย่างหนึ่งนะครับ I have read an interesting story. ผมอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจ exciting หมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราตกใจ เช่น The football match was so exciting. ฟุตบอลนัดนี้ตื่นเต้นอย่างมาก หรือเร้าใจอย่งมาก 3.กิริยาจำพวกนี้ หากเติม -ed ต่อท้าย ให้แปลธรรมดา คือ I am interested in this Japanese movie. ผมสนใจหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ และ Are you interested in this work (job)? คุณสนใจงานนี้หรือเปล่า? Excited ก็เหมือนกันครับ เช่น She was so excited. หล่อนตกใจ (ตื่นเต้น) อย่างมาก.

ประโยคที่เรามักจะใช้ผิดบ่อยๆ ถึงแม้ประโยคจะใกล้เคียงกัน

มีอีกประโยคหนึ่งที่เรามักจะใช้ผิดบ่อยๆ ถึงแม้ประโยคจะใกล้เคียงกัน แต่ความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั่นก็คือ 1.go to bed ไปและนอน (เช่น I am going to bed เดี๊ยนกำลังจะเข้านอน หรือกำลังจะไปนอน) go to the bed ไปแต่ไม่ได้นอนอาจจะเข้าไปเอาฟันปลอมที่ลืมถอดเอาไว้หัวเตียง ซึ่งจะพบบ่อยในประโยคเช่น Go to temple-go to the temple. Go to prison-go to the prison. Go to market-go to the market. Go to sea-go to the sea. Go to hospital- go to the hospital. Go to school-go to the school.

STREET ENGLISH - คำด่าผู้หญิง

รอบที่แล้ว ได้ด่าผู้ชายกันไปเตมที่ (หลายคำก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ชายนะครับ ผู้หญิงก็ได้เช่นกัน) คราวนี้ถ้าเจอคนที่อยากด่าเป็นผู้หญิงบ้างละ เอาที่ทุกคนน่าจะนึกออกได้คำแรก เลย ถ้าคุณจะด่าผู้หญิง คงเดาได้คำแรกว่า Bitch ตรงๆก็คงได้ความหมายว่า นังหมาตัวเมีย ในที่นี้ ความหมายเหมือนที่เราด่าผู้ชายว่าชัว สารเลว ว่า ******* เลยครับเพียงแต่สลับเพศบ้าง เพื่อเติมหน่อย ว่าหลายครั้งที่ผมมักได้ยินคำนี้ บางทีไม่ได้เป็นการตั้งใจด่า หรือหมายความว่าเลวเสมอไป แต่เป็นการเรียกแทนผู้หญิงแทน she/her ทั่วๆไป (ที่ค่อนข้างไม่สุภาพเลย) ซึ่งผู้สื่อไม่ได้จงใจจะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเลวนะครับ (แต่คนสื่อมันหยาบคายเอง) เหมือนเวลาเราเรียกผู้หญิงคนหนึ่ง ว่า อีนี่ อีนี่ แต่งตัวแร้งแรงวะเธอ อะไรประมาณนี้ ไม่ได้สื่อว่าเธอเลวหรอกครับ แค่เธอแรดก็พอเข้าเค้า หรือไม่ได้เจตนาด่า แต่ปากคนพูดมันหยาบคาย อย่างเช่น That's my bitch นั่นแหละ ผู้หญิงของฉัน (อาจจะเป็นแฟนก็ได้) คำว่า bitch นี้รวมอยู่ในสำนวนแสลงอย่างเช่น Son of a bitch ที่เป็นคำสบถ อุทาน และเป็นการด่าด้วย (ที่เคยเขียนในคำด่าผู้ชาย ครั้งที่แล้ว) Bitch slap คำนี้เป็นแสลงอเมริกัน แปลว่าการ ตบ โดยใช้หน้ามือนะแหละตบ หน้า เต็มๆ หลายคนอาจไม่เคยได้ยินอีกคำ มันมี pimp slap ด้วยนะครับ pimp ที่เป็นแมงดา นายหน้าผู้หญิงนะแหละ pimp slap เป็นแสลงที่แปลว่าตบเหมือนกัน แต่ใช้หลังมือตบนะครับ Riding bitch คำแสลงคำนี้ความหมายซับซ้อนครับ ก่อนจะบอกความหมาย คุณลองนึกการนั่งรถหลายๆคน ที่คนนั่งหลังสามคนเป็นผู้ชายสองคน ผู้หญืง 1 คน บางครั้งผู้หญิงจะนั่งตรงกลาง เพื่อคั่นผู้ชายสองคน ด้วยเหตุผู้ชายสองคน นั่งใกล้กันกลัวถูกเนื้อต้องตัวกันแล้วมันสยิวๆครับ 555 ผู้หญิงที่นั่งตรงกลางนั้นแหละครับ เลยเรียกว่าเป็น riding bitch อีกความหมายก็คือผู้หญิงซ้อนมอเตอร์ไซค์นะเอง อ๋อออออ ตูรู้แหละ เด็กสก้อย ภาษาอังกฤษเขาว่าอะไร โอ้ Riding bitch = สก๊อย นะเอง วู้ ความรู้ใหม่แฮะ Bitch ที่เป็นคำกริยา verb ก็มีนะครับ หมายถึง การสะอื้น การครวญคราง (แบบค่อนข้างน่ารำคาญ) บางครั้งในภาษาวัยรุ่น จะออกเสียงคำนี้ว่า บี-ยอช หีอ บี-แอช ซึ่งสะกดใหม่เป็น "biatch" ------------------------------------------------------- เรื่องเก่าที่ผมบอกในคำด่าผู้ชาย ผู้ชายยังมีการถูกเรียกว่า dick หรือ prick ที่แปลตรงๆว่า จุ๊บุ๊ ด้วยแล้ว ก็คงไม่แปลกหากผู้หญิงจะถูกเรียกด้วยคำศัพท์ จากความหมาย จิ๊โบ๊ะ เช่นคำว่า Pussy ใช่ครับ Pussy cat ถูกชอบใช้เรียกแมว แต่ถ้า pussy โดดๆ ก็แปลว่า จิ๊โบ้ะ ไปแทน แล้วก็ใช้แทนการเรียกผู้หญิงได้ (ที่ไม่สุภาพ) และออกสื่อไปทางเพศผู้หญิงที่จะเสร็จผู้ชายได้ แต่ผมไม่จัดเป็นคำด่าผู้หญิงหรอกนะ เพราะส่วนมากใช้ด่าผู้ชายซะมากกว่า เช่น When you are older, you will find your own pussy. เมื่อเธอโตขึ้น เธอจะได้ฟันสาวเองแหละ แต่ถ้า Pussy ถูกนำไปใช้ด่าผู้ชายแทน (ส่วนมากไม่ด่าผู้หญิง) ก็หมายถึงไอ้ขี้ขลาด หน้าตัวเมีย เช่น He's so much pussy that he can't jump เขาขี้ขลาดมากที่ไม่กล้ากระโดดลงไป อีกคำศัพท์ที่ใช้แทน จิโบ๊ะ ก็คือ **** คั้นท์ ก็คือจิ๊โบ๊ะ ที่มาใช้เรียกผู้หญิงอย่างไม่สุภาพเช่นกัน วิธีใช้เหมือน Pussy ทุกประการ ยกเว้นด่าผู้ชายไม่ได้เหมือน Pussy และฝากดูหยาบกว่า Pussy เยอะ -------------------------------------------------------- ผู้หญิงส่วนมากถูกด่า เมื่อเจอผู้หญิงประเภทไหนพอนึกออกไหมครับ ใช่แล้ว ส่วนมากผู้หญิงที่ ทำตัว สำส่อน ร่าน จึงถูกด่ามาก ได้ยินบ่อยครั้ง Slut คือคำที่ได้ยินบ่อยมาก เวลาด่าว่า สำส่อน (ถือว่าแรงมาก คำนี้) Slut เนี่ย เธออาจจะชอบไปแหล่งท่องเที่ยวกลางคืน เพื่อได้เจอผู้ชายใหม่ๆเรื่อยๆนะครับ อย่าสับสนกับอีตัวหรือกะหรี่ เพราะเธอเหล่า slut หาผัวไม่คิดตัง That girl is really a slut. She does sleep around. ผู้หญิงคนนั้นมันร่านมาก เธอนอนกับผู้ชายไม่เลือกจริงนะ นอกจากนั้น เปลี่ยนเป็นคำ Adjective ได้ โดยใช้คำว่า slutty แทน เช่น You slept with the guy you just met last night? เธอนอนกับผู้ชายที่เพิ่งเจอเมื่อคืนหรือ Of course I did. He's really cute, ain't he? แน่นอนที่สุด เขาน่ารักจะตาย ไม่จริงเหรอ You are so slutty! เธอมันช่างร่านจังเลยนะ Indeed! แน่นอนอยู่แล้ว นอกจากคำว่า Slut ที่แปลว่าสำส่อนแล้ว คำที่ความมายเดียวกันยังมี Tramp ผมเปิดใน urbandictionary เจอความหมายที่ฟังดูเก๋มาก The difference between a tramp and a woman? A woman lies around and sleeps; a tramp sleeps around and lies. ความแตกต่างระหว่าง Tramp กับ Woman Woman โม้ไปทั่วแล้วนอน, Tramp นอนไปทั่วแล้วโม้ Skank ก็เป็นอีกคำที่หมายถึงสำส่อน แต่ Skank นี้ยังโสมม สกปรก ขี้ยา น่าเกลียด โทรมมอมแมม หรืออะไรประมาณนั้นด้วย -------------------------------------------- หมวดด่าผู้หญิง อีตัว กะหรี่ ก็มีครับ ผู้หญิงโสเภนี ปกติภาษาอังกฤษ แบบทางการทั้วไป เรียกว่า Prostitute ใช่ไหมครับ แต่ถ้าคำแสลง บางครั้งก็ใช้คำว่า Hooker หรือถ้าคำที่หยาบมากๆ (หยาบถึงขั้นอยากเตือน ไม่ให้หลุดปาก เหมือนคำว่า slut เลยละครับ) ก็คือ ***** บางครั้งก็สะกดสั้นๆว่า ho หรือ hoe คำนี้ก็แปลว่าอีตัว แต่ถือว่าแรงมากๆเลย ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดดีกว่า ํYou are acting like a hoe! แำกทำตัวอย่างกับกะหรี่เลยนะ เพิ่มเติม มีแสลงคำใหม่อีกหลายคำที่อยากพูดถึง เมื่อ Slut + ***** = Slore หรือ slut + **** = Slunt อันนี้ศัพท์แสลงใหม่มากเป็นการเล่นคำ ประมาณ ว่ากะหรี่ยกกำลังสอง Man***** อันนี้น่าจะอยู่ในหมวดคำด่าผู้ชายนะ แต่ผมอยากอธิบายคำว่า ***** ก่อน จึงเพิ่งนำคำนี้มาเขียน ซึ่งแปลว่า ผู้ชาย ที่ทำตัวเป็น ***** นะเอง --------------------------------------- ครั้งก่อนมีคำด่าผู้ชาย ครั้งนี้ก็ด่าผู้หญิง บางคนถามแล้วมีเพศที่สามไหม จะได้ครบๆกันไปเลย คำว่า gay อาจจะเป็นคำกลางๆ ไม่เชิงเป็นคำด่า หรือจะบอกเขาเป็น Homo หรือคุณเคยเห็นหนังซีรีส์ฝรั่งชื่อเรื่องว่า Queerasfolk ไหมครับ คำว่า queer ก็แปลว่า เก้ง กวาง แต๋ว ซึ่งก็ไม่ได้หยาบคายมากมายเท่าไหร่ แต่หากว่าคุณใช้คำแสลงคำอื่นแทน บางคำอาจแรงมากเลยนะครับ นั่นคือคำว่า Fag และ ****** คำนี้ผมเคยได้ยินข่าวหนึ่งว่า มีโรงเรียน High school ถึงขั้นจะไล่เด็กนักเรียนที่ไปด่าเพื่อนคำนี้มาเลยนะครับ แสดงว่าหยาบแรงมากจริงๆ แต่เป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ผมไม่ทราบได้ ยังไงๆ คำนี้ก็ถือว่า เซนเซอร์พูดออกอากาศไม่ได้เลย ถือว่าผมได้เขียนคำด่ามาได้พอสมควรและครบทุกเพศซะทีละนะครับ ขอบคุณที่ยังติดตามกัน และหากใครมาถามคุณว่า Are you gay? คุณอยากปฏิเสธ และตอบเขาว่า กูชายทั้งแท่งนะเว้ย คุณก็ตอบเขาได้เลยว่า No, I'm straight!!

Since vs. For (with Present Perfect)

ลองดูข้อแตกต่างระหว่าง Since กับ For 2 ตัวง่ายๆ กันสักหน่อยดีไหมครับ เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น โดยทั้ง 2 คำจะใช้กับประโยค Present Perfect ด้วยกัน ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ หมายถึงการกระทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว Since is used with the present perfect to express that something has happened since a point in time. โดยที่ since จะใช้เพื่อแสดงว่าเหตุการณืบางอย่างเกิดขึ้น ณ จุดเวลาใด Examples: ยกตัวอย่างเช่น I've lived here since 1999. ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 1999 She's been working hard since two this afternoon. หล่อนทำงานหนักต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ บ่าย 2 โมงมาแล้ว ส่วน For For is used with the present perfect to express that something has happened for a period of time. ก็จะใช้กับประโยค present perfect เช่นกัน แต่จะแสดงถึงช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ เช่น ตัวอย่าง Examples: I've worked at this job for 10 years. ฉันทำงานนี่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว Peter's been playing tennis for two hours. ปีเตอร์เล่นเทนนิสมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ถ้าหากเราเข้าใจหลักการใช้ since กับ For แล้ว ลองทำแบบทดสอบดูสักหน่อย เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นนะครับ 1. He's lived in Seattle ______ he was a young man. a. since b. for 2. I've been thinking about you ______ the past few hours. a. since b. for 3. Have they been living here ______ very long? a. since b. for 4. Our parents have been telling you that ______ you could walk. a. since b. for เฉลย 1 a 2 b 3 b 4 a

other & the other

วันนี้ ผมจะมาพูดถึงคำ 2 คำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายเหมือนกันจนบางครั้ง แม้แต่ฝรั่งบางคนก็ยังแยกไม่ออก (แน่นอน ฝรั่งที่ผมพูดถึงนี้คือ "ฝรั่งขี้นก" เท่านั้นนะครับ) other กับ the other ความหมายของ the other และ other คล้ายกันมาก ทั้งสองล้วนแปลว่า "อื่น/อื่นๆ" กันทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม the other และ other ไม่ได้ใช้เหมือนกันเป๊ะๆ other + คำนามนับได้พหูพจน์ (เช่น girls, computers, cars) /คำนามนับไม่ได้ (เช่น information, furniture, water) ในขณะที่ the other + คำนามนับได้เอกพจน์ (เช่น girl, computer, car) /คำนามนับได้พหูพจน์/คำนามนับไม่ได้ นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ other และ the other มีความแตกต่างกันก็คือ ความชี้เฉพาะ กล่าวคือ the other จะตามหลังด้วยคำนามที่ชี้เฉพาะ ในขณะที่ other จะตามหลังด้วยคำนามที่ไม่ชี้เฉพาะ ทีนี้ ไอ้เจ้าความชี้เฉพาะนี่มันคืออะไร? ผมคิดว่าสำหรับเรื่องนี้ อธิบายด้วยตัวอย่างน่าจะง่ายที่สุด This isn't the most expensive diamond in the world. นี่ไม่ใช่เพชรที่แพงที่สุดในโลก There are many other diamonds that are more expensive than this one. มีเพชรเม็ดอื่นอีกเยอะที่แพงกว่าเพชรเม็ดนี้ But when it comes to size, only 2 other diamonds are bigger than this one. แต่เมื่อมาวัดกันที่ขนาดแล้ว มีเพียงเพชรอีก 2 เม็ดเท่านั้นที่ใหญ่กว่าเพชรเม็ดนี้ One is in Japan. เพชรเม็ดแรกอยู่ที่ญี่ปุ่น The other diamond is in Thailand. เพชรอีกเม็ดหนึ่งอยู่ที่เมืองไทย สังเกตดูดีๆนะครับ ตอนที่ประโยคตัวอย่างพูดถึง other diamonds (เพชรเม็ดอื่น) เขาไม่ได้บอกว่าเพชรเม็ดอื่นที่ว่านี้มีอะไรบ้าง พูดภาษา grammar อังกฤษก็คือ คำนามคำนี้ (other diamonds) ไม่มีความชี้เฉพาะ อย่างไรก็ตาม ตอนที่ประโยคตัวอย่างพูดถึง The other diamond (เพชรอีกเม็ดหนึ่ง) เขาได้ระบุไว้ชัดเจนว่าเพชรเม็ดนี้คือเพชรเม็ดไหน (ก็คือเพชรเม็ดที่ใหญ่กว่าเพชรเม็ดที่เขากำลังพูดถึงอยู่นั่นเอง) พูดภาษา grammar อังกฤษก็คือ คำนามคำนี้ (The other diamond) มีความชี้เฉพาะ นี่แหละครับคือความแตกต่างระหว่าง other กับ the other

Among / Between

สองคำนี้เป็นอีกหนึ่งคู่ของคำศัพท์ที่มีคนสับสนและใช้ไม่ถูกต้องบ่อยครั้ง หากเราต้องการสรุปหลักการใช้จะได้ดังนี้ - Between (...and) prep., adv.ระหว่าง,ในระหว่าง จะใช้เมื่อเราเปรียบเทียบคนหรือสิ่งของ 2 อย่าง - Among = prep. ในระหว่าง, ในหมู่, ในจำพวก จะใช้เมื่อเราเปรียบเทียบคนหรือสิ่งของตั้งแต่ 3 อย่างขึ้นไป ดังนั้น 2 อย่างใช้ between และ 3 อย่างขึ้นไปใช้ among เรามาดูตัวอย่างการใช้กันครับ Jesse and Frank were hoping to divide the money between the two of them (ถูกต้องแล้วเพราะมีสองคนคือ Jesse กับ Frank), but Billy and Cole wanted the money to be distributed among all the people (ถูกต้องเพราะมีอย่างน้อยๆ ก็ 4 คนที่จะต้องแบ่งผลประโยชน์กันนะครับ) who took part in the project

เมื่อคุณพูดว่า "I can't speak English well." กับฝรั่ง แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่า "Don't sell yourself short." คุณรู้ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร?

สำนวนนี้หมายถึง "อย่าดูถูกตัวเองครับ"

STREET ENGLISH - อังกฤษ-ใน-ส้วม!

สิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยกิจกรรมหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ "ขี้" และ "เยี่ยว" มีใคร ไม่ขี้บ้าง ยกมือขึ้น .... ไม่มี ******* เหรอครับท่าน!? O_o (เห็นคำนี้ ทำให้นึกอะไรให้เขียนได้อีกหลายอย่าง สงสัยเอนถี่ใหม่อาจไม่พ้นเรื่องก้น ) แต่เอนทรี่นี้ไม่ขอเจาะลึกเรื่องนั่น แต่จะพูดกันเรื่องของ "ส้วม" เอนทรี่ได้แรงบันดาลใจ ต่อยอดมาจาก http://watchi.exteen.com/20081115/entry-1 ของ ได-เอดคุง (ขออนุญาตดื้อๆมาแล้ว เอ็ดดี้ยินดีเสมอ ) เพียงแต่ว่า ตอนนึกเขียนเรื่องนี้ได้ ไม่ได้นั่งคิดในส้วมเหมือนเอ็ดดี้ ขอแถม ที่ประเทศไทย เคยมีการจัดงาน "ส้วมเอ๊กโประดับโลก" ด้วยหรือนี่ เราเรียนคำศัพท์ คำว่า ห้องน้ำมาหลายคำ หรือถึงไม่เรียนมาบางคำ แต่ก็ต้องผ่านสายตา จนเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ผมว่าหลายๆภาษา มักต้องมีแสลงในเรื่องพวกนี้ ไม่ต่างกับภาษาไทย ที่เรามีคำแสลงของคำว่า ปลดทุกข์ หรือ สุขา อยู่หลายคำ สำคัญมาก เวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศที่ไหน และหากประเทศนั่นไม่พูดอังกฤษกัน ก็จำเป็นที่ต้องรู้จักคำว่าห้องน้ำ ไว้เผื่อฉุกเฉินเสมอ (คงไม่ถึงขนาดต้องไปรู้คำว่าขี้หรอก) อย่างน้อย เมื่อยามข้าศึกบุกยามวิกาล ก็ไม่จำเป็นต้องไปวางฟอร์ม ต้องยอมถามเขาว่า "Excuse me. Could you tell me where is the f.... (เอ้ย ไม่ใช่ๆ เผลอติดลมจากเอนทรี่ล่าสุด) Where is the toilet?" คำว่า Toilet นี้ความหมายเจาะจง คือ ส้วม (มากกว่าห้องน้ำ แต่ก็สื่อถึงห้องน้ำ) นอกจากนี้ ยังมี Restroom Rest แปลว่าพักผ่อน ฉะนั้น มันเป็นห้องสำหรับพักผ่อนหรือนี่ คำว่า W.C. นั้นก็ย่อมาจาก Water Closet รู้สึกว่าคำนี้ที่มาจาก ยุโรป ส่วนคนอเมริกัน จะติดปากคำว่า Bathroom คงจะมีคนเถียงว่า Bathroom มันเป็นห้องอาบน้ำ ไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ ประเทศอเมริกามันชอบแปลกแยกครับ ก็กรูจะใช้ bathroom แทนห้องส้วม ไม่ว่าจะส้วมในบ้าน ส้วมสาธารณะ หรือ ส้วมเอกชน นี่หว่า ยังสิมันยังไม่จบแค่นี้ บลอกนี้ชอบเขียนอะไรยาวๆทุกที (พยายามจะเขียนสั้นๆก็ทำไม่ค่อยได้) มีแสลงอีกมากมายจะมาสาธยาย Shitter คงจะรู้กัน Shit!! คือ ขี้ ย้ำอีกรอบ SHIT!! คือ ขี้ เป็นได้ทั้งกริยา และ คำนาม และเป็นคำสบถติดปากพอๆกับ "Fu*k" และ Shitter นั่น หมายถึงส้วม ไม่รู้ใครคิดค้นคำนี้ขึ้น แต่มีการใช้กันในหมู่เด็กซน Crapper รู้จักอีกคำไปเลย ของคำว่า SHIT!! นั่นคือ Crap!! ใช้ได้ทั้ง "ขี้" และคำสบถในเวลาเดียวกัน ฉะนั้น Crapper ก็คือ Shitter กรุณาแยกแยะ การออกเสียงและการสะกดคำว่า Crap และ Crab ให้ดีด้วย เพราะถ้าจะสั่งปูกิน อาจจะกลายเป็น สั่งขี้กิน!!! O_o (crap ออกเสียงสั้นๆ ส่วนปู crab ออกเสียงยาวๆ) Potty คือโถเด็กขี้ Throne - อีกคำของส้วม (ใครเป็นแฟนเกม Warcraft หรือ โดต้า น่าจะเคยเห็นชื่อภาคเสริมว่า Frozen Throne สงสัยมัน อาจจะเป็น ส้วมน้ำแข็ง ก็ได้มัง ล้อเล่นครับ ความจริง มันแปลว่า บัลลังค์ แต่ว่า ภาษาอังกฤษ มันก็ทำเป็นแสลงไปได้) สุดท้าย อ้างอิงถึงเอนทรี่เก่าที่เคยเขียนเรื่อง นาย John กับ นาง Jane http://streetenglish.exteen.com/20070924/john-jane เป็นแสลงส้วมอเมริกัน อีกคำหนึ่ง ที่คนอเมริกันทุกคน รู้จัก นั่นคือ John - ห้องน้ำชาย และ Jane - ห้องน้ำหญิง เวลาพูดก็ "I'm going to the John/Jane" เป็นอันรู้กันว่า "ไปเยี่ยวนะ" วันนี้อยากจะให้เอนทรี่ สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะ ก็เลยอยากขอรีบจบก่อนดีกว่า ไม่งั้นคราวหน้า จะเจาะลึกภาษาอังกฤษ ของคำว่า ขี้ หรือ เยี่ยว แน่ๆละมัง เอาเป็นว่า ไปขี้ก่อนนะ!!

ศัพท์บางคำที่ค่อนข้าง ใกล้เคียงกันมาก (หากพูดไวๆ) อาจจะทำให้เราฟังไม่รู้เรื่อง สับสน

สิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้เราฟังสิ่งที่ฝรั่งพูดไม่เข้าใจ อาจจะเป็นเพราะ มีศัพท์บางคำที่ค่อนข้าง ใกล้เคียงกันมาก (หากพูดไวๆ) อาจจะทำให้เราฟังไม่รู้เรื่อง สับสน ที่ค่อนข้างพบบ่อยนะครับ เช่น 1.foreword, forward, 11. lessen, lesson. 2. incidents, incidence 12. once, wants, 3. may be, maybe, 13. passed, past 4.poor, pore, pour, 14. plain, plane, 5.volume, volumn 15. principal, principle 6.which, witch, 16. quiet, quite 7.whos, who''s, whose 17. to, too, two, toe, tow, 8.allusion, illusion, 18. wander, wonder 9.choose, chose, 19. weather, whether, 10. it''s self, itself 20. say, se, เป็นต้น. 21. accept, except, 24. farther, further, 22.access, assess, 25. strait, streight, straight 23. scene, seen, 26. know, no, 27.vary,very 28. live, leave 29.rice, lice ส่วนมากประโยคนี้เรามักจะพูดผิด I eat lice. ผมกินเหาหรือเห็บ เป็นต้นครับ สิ่งที่จะช่วยให้เราจำแนกแยกแยะได้ นั่นก็คือ การฝึก การฝึก และการฝึกฝน และฟังบ่อยๆ ครับ เพราะสำเนียงบางกลุ่มใกล้เคียงกันมาก แต่ความหมายอาจจะแตกต่างกันไป และเราก็ต้องเดาเอาเองว่า ขาเมาเรา ไม่ใช่ ขาเม้าท์เรา กำลังคุยเรื่องอะไร แต่ก็มีบางครั้งที่อาจจะทำให้การสนทนา มึนได้ หากเรายังไม่เก่ง เพราะสระบางตัวในภาษาอังกฤษ คนไทยจำนวนมากไม่คุ้นเคยลิ้น

In case of กับ In case

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่เห็นอยู่บ่อย คือ การใช้คำว่า In case of กับ In case ถ้าจะนึกถึงคำภาษาอังกฤษที่แปลว่า "ในกรณีที่ หรือ ถ้าเผื่อ" ก็คงนึกถึง 2 คำนี้แน่ ลองมาดูคำอธิบายและตัวอย่างข้างล่างนี้ ว่าใช้แตกต่างกันอย่างไร in case of + noun or phrase* (ในกรณีที่ตามหลัง preposition ในที่นี่คือ of ไม่สามารถตามด้วย clause (ในรูปอนุประโยคที่มี S + V) ได้ จะตามได้แค่ noun หรือ phrase เท่านั้น) ตัวอย่าง Do not use elevator in case of fire. Blackberry now offers security in case of loss. Call me in case of emergency. in case/just in case + clause ตัวอย่าง I am going to take an umbrella with me in case it rains. I'll get you a pizza just in case you are hungry. We're not going to leave the office until five in case she calls. สรุปง่ายๆ in case of จะตามด้วย คำนาม Noun หรือ phrase แต่ถ้าเป็น in case หรือ just in case ก็ตามด้วย clause. *Phrase = กลุ่มคำ หรือ วลี คำมากกว่า 1 คำที่เรียงต่อ ๆ กัน แต่ยังไม่เป็นประโยค

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 17 การสรุปผลการประชุม (Summarizing)

หลังจากที่ประชุมได้พิจารณาวาระต่างๆจบสิ้นไปแล้ว ผู้ดำเนินการประชุมหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบควรจะสรุปผลการประชุมในแต่ละวาระให้ที่ประชุมได้รับทราบไว้อีกครั้งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นประเด็นหลักๆหรือปัญหาสำคัญๆ ทั้งนี้ เพื่อที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการพิจารณาหรือการประชุมในครั้งต่อๆไป หรือเพื่อที่ประชุมจะได้ร่วมกันพิจารณาลงมติหรือสั่งการมอบหมายให้บุคคลหรือกลุ่มคณะหนึ่งนำไปดำเนินการต่อไปได้ บรรดาคำพูดซึ่งใช้เพื่อการนี้ ได้แก่ To summarize, there seem to be one/two/etc. main issues/points/problems. So far, we've discussed the issue/problem of ... . Today, we've covered ... . It seems that we are in agreement that ... . We've agreed with some reservations that ... . We've agreed unanimously that ... . The agreement we reach today concerning ... is that ... . To sum up, today we've considered ... . Generally, the meeting is of the opinion that ... . We generally agree that ... . It is our general agreement that ... . In sum, we talked about ... . In sum, the question(s)/problem(s)/issue(s) about ... was/were raised. ในกรณีที่เป็นการประชุมเพื่อแจ้งให้ทราบหรือไม่มีประเด็นปัญหาใดที่ต้องการข้อตัดสินใจ ที่ประชุมก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาตัดสินใจ และอาจปิดประชุมได้เลยหลังจากที่สรุปผลการประชุมเสร็จสิ้น แต่ถ้ามีเรื่องซึ่งต้องการการตัดสินใจของที่ประชุมแล้วจะมีการร้องขอให้ที่ประชุมพิจารณาตัดสินใจหลังจากที่มีการสรุปผลการประชุมโดยใช้คำพูดต่อไปนี้ คำขอให้ที่ประชุมพิจารณาตัดสินใจ/ลงมติ Can we now try to reach a decision? We've got to decide on ... Now, we have to make a decision on ... The meeting's decision is needed for ... The issue(s)/problem(s) is/are now waiting for this meeting's decision. สถานการณ์ตัวอย่าง การพูดสรุปผลการประชุม So far, we've discussed the problem of producton delay. Today, we've covered the new marketing campaign. It seems that we are in agreement that we should cut back on our fuel consumption. การขอให้ที่ประชมพิจารณาตัดสินใจ/ลงมติ We've got to decide on our new market strategies for next year. The meeting's decision is needed for termination of deal with Star Corp. Now, we have to make a decision on whether to accept IBM's or Hewlett Packard's bid.

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 5 การเสนอหนทางเลือก (Stating Options)

หลังจากที่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ฟังด้วยการตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆเพื่อเสนอปัญหาหรือประเด็นให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมและคิดตามไปด้วยแล้ว ลำดับต่อไปของการนำเสนอได้แก่การเสนอหนทางเลือกสำหรับการแก้ปัญหาหรือประเด็นย่อยให้ผู้ฟังพิจารณาโดยใช้คำพูดต่อไปนี้ We have considered/looked at one/two/etc. options. One way to solve this problem is .... Another is to ... There are two/three alternatives. The first one is ... The/Our first option is (to) ... But what about the second/third/other option? So, now let's look at the second/third/other option, which is (to) ... We have two/three/etc. courses of action. The first one is (to) ... The options/alternatives we have are (to) ... or (to) ... There are two/three/etc. ways to handle/solve this problem, which are (to) ... or (to) ... To solve/handle this problem, we can either ... or ... ในการกล่าวถึงแต่ละหนทางเลือกหรือแต่ละประเด็นย่อยนั้นจะต้องแจกแจงให้ผู้ฟังเห็นถึงข้อดีและข้อเสียของหนทางเลือกแต่ละข้อ ซึ่งเราอาจเลือกใช้คำพูดเหล่านี้ ได้แก่ ข้อดี What are the benefits/advantages? The advantages/benefits of this option are ... By choosing this option, we'll be able to ... This option/alternative will enable us to ... We'll benefit by ... ข้อเสีย There are, however, (some) disadvantages, which are ... But there are some problems too. On the other hand, ... By choosing this option, we/the company, however, will have to ... The disadvantages/shortcomings/etc. of this option are ... Unfortunately, we will not be able to ... สถานการณ์ตัวอย่าง The options we have are to acquire more machinery or to hire more labor. The advantages of the first option are ... . On the other hand ... . By choosing the second option, we'll be able to ... . Unfortunately, we will not be able to ... . All these late deliveries and backup orders make us fall back almost two months in our schedule. What can we do about it? There are two ways to handle this problem, which are to revamp our operation, a costly choice but worthwhile in the long run, or to contract out production and delivery, a less cost choice but would not be economical in the long run.

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 7 การให้ข้อเสนอแนะ (Making Recommendation)

หลังจากสรุปสิ่งที่นำเสนอไปแล้ว ลำดับต่อไปก็คือการให้ข้อเสนอแนะจากผู้บรรยายว่าหนทางเลือก หนทางปฏิบัติ การดำเนินงาน หรือทางออกใดที่จะช่วยแก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนาประเด็นปัญหาหลักของการนำเสนอได้บ้าง ทั้งนี้ โดยเลือกใช้คำพูดแบบกลางๆที่เหมาะสมจากตัวอย่างต่อไปนี้ การเสนอแนะโดยทั่วไป I (would) propose/suggest/recommend that ... be + v.3 ... . It is advisable to ... . ในกรณีที่เป็นการให้คำแนะนำโดยผู้พูดมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหรือโครงการนั้นด้วยจะพูดว่า I suggest we + v.1 ... . We should + v.1 ... . We ought to + v.1 ... . In future we plan to + v.1 ... . แต่ถ้าเป็นการให้คำแนะนำกับบริษัทหรือโครงการอื่นที่ผู้พูดไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง เราอาจพูดว่า I suggest you v.1 ... . (I think) you should v.1 ... . I (would) advise/recommend n. เช่น My suggestion would be to reduce our production. Our proposal is to increase our operation. The recommendation would be to expand our service. I propose a price hike. I'd like to suggest reducing our prices. We recommend laying off 5 percent of our workers. We propose the company shut down foreign operation. I would suggest that new price structure be adopted. It is advisable to split our stocks. We should reengineer our management. I think you should shift your personnel around. สถานการณ์ตัวอย่าง ... . Considering the present economic situation and the company's present financial status, I'd recommend the first option for the time being. But I'd like to suggest that we move to the second option in the future if the circumstances are more favorable than the present. ... . In the future, we plan to step up our production before summers start in order to cater to the demand of these young customers.

So กับ Very ในความหมายคำว่า "มาก"

หากเราจะใช้คำว่า "so" กับ "very" ในแง่ของคำว่า "มาก" แล้ว ทั้ง 2 คำนี้ก็แปลว่ามากทั้งคู่เลยนะ แล้วมันต่างกันอย่างไรหว่า... แต่ก่อนอื่นเรามาดูความหมายกันก่อนนะ ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร so adv. ดังนั้น,เช่นนั้น,เช่นนี้,ฉันนั้น,อย่างนั้น,อย่างยิ่ง,จริง ๆ ,มากยิ่ง,โดยแน่แท้,เหตุฉะนั้น,เหตุฉะนี้,แล้วทำไม. conj. ดังนั้น,ถ้า,ถ้าเช่นนั้น,โดยมีเงื่อนไขว่า,เพียงแต่,ขอให้ pron. ดังนั้น,เช่นนั้น,จนกระทั่ง,จนถึงกับ,ในราว,ราว ๆ นั้น,ประมาณ interj. คำอุทาน,เมินเฉย very adv. มาก,มาก ๆ ,อย่างยิ่ง,แท้จริง,เหลือเกิน. adj. แท้จริง,จริง,โดยเฉพาะ,แน่แท้,โดยสิ้นเชิง,เต็มที่,เพียงเท่านั้น, ลองมาดูวิธีใช้กันเลย เขียนเป็นข้อๆ ง่ายๆ เลยไม่มากความ 1) very ใช้ในภาษาทางการ หรือภาษาเขียน 2) so ใช้ในภาษาพูดซะส่วนใหญ่ แต่จะใช้ very ในภาษาพูดก็ไม่ผิดนะ 3) so จะมีความหมายที่มากกว่า very ต่อเมื่อเราใช้ในภาษาพูด เช่น "Thank you so much." <-- แสดงให้เห็นอารมณ์ว่าขอบคุณอย่างมาก Thank you very much. <-- ขอบคุณมาก I am very happy. <-- เรามีความสุขมากเลย I am so happy. <-- เรามีความสุขมากเลยนะ "I am soooooooooo happy." <-- เรามีความสุขมากกกกกกเลย (ใช้ในภาษาพูด) แต่เราจะแทบจะไม่เห็นคนใช้ "I am veryyyyyyyyyyy happy. เลยใช่ไหมหล่ะ สังเกตได้ว่าจากประโยคข้างต้นมันก็บแปลว่าดีใจมากทั้งคู่เลย แต่ถ้าเราใช้คำว่า so แทนคำว่า very มันจะให้อารมณ์ของการพูดที่ดูว่า "มาก" มากกว่า หรือพูดง่ายๆ ว่า "มากๆ" นั่นเอง แต่มีลักษณะเฉพาะของการใช้ so อีกอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ so + adj./adv. + that These boxes are so heavy that we cannot life them. ปล. ย้ำอีกครั้งว่า so จะใช้ในการแสดงอารมณ์ว่ามาก

STREET ENGLISH - พูดจาภาษาตูด

อยากวิเคราะห์ภาษาเจาะลึกถึงคำๆหนึ่งให้ฟัง ถึงเรื่องของ ตูด ให้อ่านกัน วันนี้รายการกระจกหกด้าน ขอนำเสนอ ตูด หากถามว่า ตูด ภาษาอังกฤษ เรียกว่าอะไร ก็ได้คำตอบจากส่วนมากว่า ASS มีคำสองคำที่สื่อความหมายถึงอวัยวะส่วนนี้ของพวกเรา นั่นคือคำว่า Butt กับ Ass แต่ Ass เป็นที่นิยมมากกว่าในภาษาดิบๆของพวกเรา ass คือส่วนที่เราใช้นั่งส้วม และมีส่วนประกอบย่อยออกเป็น cheeks (แก้มก้น) และ ******* (รู) แก้มก้น หรือ Cheeks นั้น บางครั้งใช้คำอื่นแทนด้วยว่า buns หรือ chips ******* เป็นส่วนที่อยู่ใจกลางของก้นเรา หากถ่ายรูปโคลสอัพได้ อาจจะดูเหมือนเครื่องหมายดอกจัน ( * ) เป็นคำที่สามารถใช้ประโยชน์ได้บ่อยครั้ง ในหลายสถานการณ์ ใช้ด่าพวกที่คิดว่าตัวเองเก่ง หรือ ปากดี ได้ (เนื้อหาเพิ่มเติม อ่านได้จาก เอนทรี่เรื่อง คำด่าผู้ชาย) Ass eyes มีความหมายว่า เบิ่งตาโต ใส่คนอื่น เหมือนกิ๊ก สุวัจนี ทำตาดุใส่ นังเย็นในละครไทรโศก แต่แน่นอน มันใช้เป็นคำด่า แทน ******* ได้ และยกระดับเลเวลของสกิลการด่าของคุณเพิ่มอีกนิด Ass-wipe ไม่ต่างอะไรจากการด่าคนว่า ******* ฉะนั้นรู้จักคำนี้เพิ่มอีกซักคำก็ไม่เสียหายอะไร หรือจะไม่ว่า ******* - ไอ้โง่ ที่เคยเขียนในคำด่าผู้ชาย Bad ass - เจ้าตัวร้าย ตัวแสบ ก็ไม่เชิงเป็นคำด่า ออกจะดูเชยชมซะด้วยซ้ำ Ass kisser มีความหมายเดียวกับคำในภาษาไทยของเราที่ว่า หมาเลียเท้า ที่ คอยประจบ เจ้านายเพื่อเอาใจ Kiss my ass แม้จะให้จูบเหมือนกัน แต่ไม่ได้มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับ Ass kisser แต่อย่างใด หากแต่เป็นประโยคในการแสดงความไม่เห็นด้วย กับผู้ที่เราสนทนาด้วย ดูความหมายเพิ่มเติมในคำว่า Up your ass ได้ต่อ Pain in the ass ถึงแม้จะเขียนหลายคำ แต่ก็เป็นกลุ่มคำนามคำเดียว สื่อถึงบุคคนที่แสนน่ารำคาญ น่าถีบ My brother is such a pain in the ass, He keeps asking my money everyday and it is so annoying. ไอ้น้องฉันมันช่าง pain in the ass จริงๆ มันเอาแต่ตื๊อขอตังฉันทุกๆวันจนน่ารำคาญจริงๆ Up your ass เป็นประโยคย่อจากเต็มๆว่า "Stick it up in your ass" หรือ เอามันไปเสียบก้นแกเถอะ บางครั้งอาจพูดแค่สั้นๆว่า Up yours ฝรั่งก็เข้าใจได้ทันที ความหมายอย่างที่ได้บอกแล้วว่าเหมือนกับ Kiss my ass เพื่อเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วย กับผู้สนทนาด้วย Hey pal, I'm broke. Can I borrow your money? เฮ้ เพื่อน ฉันถังแตกจริงๆ ยืมเงินนายหน่อยได้ไหม Up your ass, I've heard you just bought a new camera. พ่อเ*งดิ อั๊วเพิ่งได้ข่าวว่าลื๊อเพิ่งซื้อกล้องมาใหม่นี่หว่า Kick ass ในชื่อหนังภาษาไทยเขาตั้งชื่อไว้ว่า โคตรเกรียนมหาประลัย แต่การใช้คำนี้ในภาษาอังกฤษจริงๆ เป็นแสลงแปลว่า เจ๋ง เยี่ยม เหมือน awesome เช่น Wow that kicks ass, dude! ว้าว เจ๋งไปเลยเพื่อน Piece of ass คำนี้มีสองความหมาย ความหมายหนึ๋งคือเรื่องการมีเซ็กส์ เช่น Why so sad? You look like you need a hug? ทำไมดูเศร้าจัง นายดูเหมือนต้องการการกอดนะ All I need is a good piece of ass. สิ่งที่ฉันต้องการคือเซ็กส์ต่างหากละ อีกความหมายหนึ่งก็ยังคงเกี่ยวข้องกับเซ็กส์อยู่ดี แต่คราวนี้เป็นการแทนตัวบุคคน คำๆเดียวแต่แปลได้ทั้งคนที่เก่งในเรื่องอย่างว่าลีลาสุดพริ้ว และ คนที่แสนธรรมดาในเรื่องอย่างว่าไม่มีลีลา The girl you were with last night, looks like she is a real piece of ass. ผู้หญิงที่นายนอนด้วยเมื่อคืน ท่าทางจะลีลาดีนะ No. She was just some piece of ass ไม่เลย เธอแสนธรรมดาสุดๆ You bet your ass อันนี้แปลได้ว่า พนันได้เลย แน่นอนที่สุด คือการตอบตกลง เห็นด้วยที่อยากใส่ความชัดเจนหนักแน่นไปเลย Do you want go to the movie tonight? You bet your ass I do. Ass out คือการไม่มีโชค หรือไม่เหลืออะไร (ไม่เหมือนกับประโยค I'm get my ass out of here นะครับ ประโยคนี้คือ ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว) เช่น If you get to the dinner table five minutes late you'll be ass out. ถ้านายมาที่โต็ะทานอาหารช้าไป 5 นาทีละก็ นายจะไม่เหลืออะไรกินเลยนะ และเมื่อมีใครพูดกับคุณว่า I'm dead ass ไม่ใช่เขาด่าตัวเอง แต่เขาจะบอกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง จริงๆนะ สาบานเลย ซึ่งย่อมาจาก I'm dead serious หรือ I'm dead ass serious นะเอง เช่น I think I just saw Lady Gaga at the Casino, I'm dead ass ช่วงนี้มีแต่เรื่องไม่ค่อยสุภาพ เรท 18+ ติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ครั่งหน้าคงต้องหาอะไรเบาๆบ้างซะทีละครับ สุดท้าย ขอเน้นคำศัพท์ ที่แปลว่าตูด ตรงๆไปเลย ที่ไม่ใช่ Ass หรือ Butt ฺBottom Derriere Heinie rear end posterior แต่หากคุณเป็นสาวก Street English ละก็ ไม่ต้องจำ และลืมมันไปเถอะครับ จะรู้เรื่อง (*) แบบนี้ไปรกสมองทำไม

STREET ENGLISH - ใครๆก็หาว่าเธอนะ อ้วน!

อย่าเข้าใจผิดนะครับ ไม่ได้มีอคติกับคนเจ้าเนื้อนะครับ คนเจ้าเนื้อน่ารักครับ เห็นข่าวเร็วๆนี้ ที่มีหญิงคนหนึงที่อ้วนเอามากถึง 300 กก. ไม่สามารถลุกได้ จนต้องรื้อระเบียงจากห้องในคอนโด แล้วใช้ไฮดรอลิก รับลงมาจากชั้นบนเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาล ทำให้นึกได้ว่าคำว่าอ้วนนั้นมันมีศัพท์ภาษาอังกฤษมากมาย รวมถึงแสลงก็มากด้วยเหมือนกัน ปกติไปใช้คำว่า Fat นี่ มันดูไม่สุภาพเอานะครับ ก็เหมือนๆเวลาเราไปบอกใครว่า เฮ้เป็นไง ไม่เจอกันนาน อ้วนจังว่ะ? แสดดดดด ทำไมต้องทักกันแบบนี้ด้วยยย!!! ความอ้วนมันมีระดับครับ ถ้าอ้วนแบบน้ำหนักเกินนิดๆ มันก็คือ - Overweight. พออ้วนเข้ามาอีกหน่อยก็เข้าเกณฑ์ - Fat แล้วพออ้วนเอาแบบตุ๊ต๊ะ ก็กลายเป็น - Obese ถ้าคำนามของคำว่า "โรคอ้วน" ก็คือ Obesity นะครับ แต่ขอสงวนคำด่าใครว่า ******* หรืออะไรเช่นนี้นะ มันไม่ดี ------------------------------------------------ แต่มาดูคำแสลงใช้จริงของฝรั่งบ้าง เวลาฝรั่งเขาพูดถึงคนอ้วนๆ มันก็มีแสลง เช่น Chubby ถ้าให้แปลซับ ก็คงได้ เจ้าตุ้ยนุ้ย จ้ำม่ำ ละมัง ปกติเหมือนเรียกเด็กๆจ้ำม่ำว่า Chubby แต่ chubby มีความหมายเชิงเรทอาร์ด้วยนะเธอว์ ก็เวลาคุณผู้ชายตื่นนอนแล้วมีอาการ "เรือกตั้ง" อะไรนะ? จริงๆ "เรือกตั้ง" ไง ไม่ใช่ "เลือกตั้ง" ไม่ได้พิมพ์ผิด ใครไม่เข้าใจให้ไปดูที่คอมเมนท์แรกนะครับ คำนี้ ยังไงคำนี้ใช้เฉพาะอาการหลังเพิ่งตื่นนอนนะ เวลาอื่นไม่เกี่ยว --------------------------------------------- หลายวันก่อน มีดีวีดีของ Gabriel Iglesias สองแผ่นส่งมาถึงบ้านผมแล้ว เพิ่งเอามาดูได้แผ่นเดียวเอง แต่ตลกมากๆ ผมชอบสุดๆเลยแหละ เขาบอกว่าตัวเองไม่ได้อ้วนนะครับ I'm not fat.... I'm fluffly เขาแค่ Fluffy เท่านั้นเอง ในนิยามของเขา Fluffy นี่เท่ากับอ้วนระดับเลเวล 4 เต็ม 5 เลยนะ *Fluffy จริงๆหมายถึงขนปุกปุยนะครับ แต่แสลงอีกความหมายคืออ้วน เลเวลความอ้วนที่อ้างอิงจาก พี่เก้บของผมบอกว่า 1 Big 2 Healthy 3 Husky 4 Fluffy 5 DAMNNNN!!!! แม่เจ้าโว้ยยย!!!! แต่เรื่องใหม่ของพี่เก้บบอกว่า ถ้าใหญ่กว่า Damn ล่ะ เลเวล 6 - OH HELL NO!!! ขอพื้นที่โฆษณา Gabriel Iglasias อีกที ช่วงนี้กำลังเห่อ ขอประทานอภัยสำหรับผู้ที่ไม่แข็งแรงการฟัง ขอผลัดเรื่องคำแปลไว้ก่อนนะครับ ถ้ามีเวลาจะเอามาเขียนให้หมดครับว่าเขาพูดว่าอะไร แต่นี่ไม่ได้เวอร์นะ ผมชอบคนนี้สุดๆจริงๆช่วงนี้ Youtube มีเพียบเลยดูทีฮาขี้แตกขี้แตนเลยผม ------------------------------------------------------------ มีอีกคำล้อคนอ้วนก็คือ Tubby Tubby นี่เป็นอ้วนขั้นกลมดิ๊กแล้วละครับ เวลาเดินเป็นห่วงอยู่ว่าพุงมันจะโน้มน้ำหนักให้หน้าคมำแล้วกลิ้ง หลุน หลุน ไป ( อืมใครดูหนังเรื่อง Lost บ้างครับ จะเคยได้ยินบ่อยๆเวลา Sawyer ชอบเรียก Hugo ว่า Tubby นะ) ภาพของ Hugo Reyes ที่อ้างถึง แต่นี่เป็นตัวละครที่ผมรักมากเลยนะในหนังเรื่องLost นี้ คือเป็นคนที่มีน้ำใจกับเพื่อนๆและไม่อวดตัวว่ารวยร้อยล้านเลยอะ หากจะมีเพื่อน ผมอยากมีเพือนแบบฮิวโก้มากเลยนะครับนี่ ------------------------------------------------------------ แต่บางคนอ้วน แต่ไม่คิดว่าตัวเองอ้วน ภาษาแสลงเขาเรียกคนพวกนี้ ว่า Lard ครับ Plumper - อันนี้จะระบุเพศหญิงอ้วนครับ แต่เธอก็สามารถดูเซ็กซี่แบบต้วมๆได้นะครับ ขอหยิบยกรูปภาพตัวอย่างมาให้ดู การบอกว่าใคร Plump ถือเป็นการบอกใครอย่างสุภาพว่าเขาอ้วนได้ดีกว่าคำว่า Fat นะครับ ความหมายของ Plump ก็คือ อวบอึ่ม นะแหละครับ ------------------------------------------------ อีกลักษณะของอ้วนแล้ว คือยังเตี้ยด้วย (ก็อ้วนเตี้ยนะแหละ) Stout - หมายถึงผู้ชายวัยกลางคนที่เตี้ยและอ้วน (นี่ถ้าหัวล้านด้วยคงจะครบสูตรนะนี่) อีกคำก็คือ Dumpy - ใช้กับเด็กหรือผู้หญิงที่รูปร่างอ้วนเตี้ย เฮ้ยๆๆ นี่มันเริ่มยาวไม่ใช่เอนทรี่สั้นแล้วนะ งั้นผมไม่ขอต่อไปมากกว่านี้แล้ว เริ่มทำผิดสัญญาตัวเองอีกแล้ว ความจริงเรื่องอ้วนๆนี้ทำให้นึกได้หลายแสลงเหมือนกันนะครับ ใครมีคำอื่นมาเสนอ โปรดทิ้งให้ในคอมเมนท์ด้วยนะครับ

every other day วันเว้นวัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์

เคยสงสัยไหมครับ ถ้าเราอยากจะพูดวันเว้นวัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ หรืออะไรทำนองนี้ ในภาษาอังกฤษจะว่าอย่าง Every other เราเคยสงสัยไหมครับ ถ้าเราอยากจะพูดวันเว้นวัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ หรืออะไรทำนองนี้ ในภาษาอังกฤษจะว่าอย่างไร ผมมีคำตอบให้ครับ คือใช้คำว่า every other ซึ่งหมายถึง alternately; omitting the second one in each group of two ลองดูตัวอย่างกันครับ Due to a slump in sales, department stores hold sales event every other month. (เนื่งอจากยอดขายตก บรรดาห้างสรรพสินค้าจึงจัดงานเซลส์กันเดือนเว้นเดือนกันทีเดียว) I guess something wrong. My boyfriend used to send me an e-mail everyday but now every other day. (ฉันว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ แต่ก่อนแฟนฉันส่งเมล์มาหาทุกวัน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นวันเว้นวันแทน) SEA Games is held every other year. (การแข่งกันกีฬาซีเกมส์จัดปีเว้นปี) To boost sales, we plan to run acquisition program every other month. (เพื่อกระตุ้นยอดขาย เราวางแผนจะจัดโปรแกรมกระตุ้นหาลูกค้าใหม่กันเดือนเว้นเดือน) ไม่ยากเลยใช่ไหม จะเป็นบรรทัดเว้นบรรทัด หรืออะไรก็ได้ครับ ก็ใช้ every other ได้ทั้งนั้น ลองนำไปแต่งประโยคดูนะครับ

STREET ENGLISH - คุณพี่ตำรวจ ฝรั่งเรียกพี่ว่าอะไรบ้าง รู้ป่ะ!?

เคยอยากเขียนเรื่องนี้มานานแระ เกิดแรงบันดาลใจเล็กน้อย จากข่าว ซีแนมโดนกับตัว มิจฉาชีพ หลอกเงินให้โอนทาง ATM (ดูท่าเจ้าของบลอกจะดองไว้นาน เขาจับคนร้ายได้แล้วนั่น) หลายคนเห็นข่าวนี้ ก็คิด "อะไรกัน ไม่ได้เห็นข่าวเหรอ เขาโดนกันมาตั้งมากมาย ทำไมยังถูกหลอกกันได้อีก!?!" แต่อย่าไปว่าใครอะไรเลยครับ เหยื่อเคราะห์ร้าย ก็น่าสงสารพอแล้ว อย่าซ้ำเติมใครอีกเลย ตอนที่ดูข่าวเรื่องนี้ ผ่าน เรื่องเด่นเย็นนี้ ในช่วงของสรยุทธ ผมก็ติดใจเรื่องที่ซีแนมเล่าว่า ไปแจ้งความที่ สน. แล้ว แต่ โดน สน. ปัดความรับผิดชอบ ไม่รับแจ้งความ เพราะ ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ โอ้ แม่เจ้า คุณตำรวจครับ คนเขาเดือดร้อน และต้องการแจ้งความช่วยเหลือเร่งด่วนนะเว้ย นี่จะให้ไปหาสน.อื่น แล้วตัวเองไม่ช่วยอะไรเลยหรือไง สถานีตำรวจควรปฏิบัติให้เหมือนโรงพยาบาลหน่อยสิครับ เวลาคนต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เมิงจะรีบช่วยเขาหน่อยไม่ได้หรือไง ไอ้ที่ผมฉุนๆ อีกก็คือ ตำรวจพูดกับซีแนมแค่ว่า "ทำใจได้เลย" โอ้ย เจ๊บจี้ดคับ เจ็บจี้ด ให้ตายเถอะ like a kick in the nuts เตะใข่พวงพริกกูจะเจ๊บน้อยกว่าเลยเอ้า เจอมาเหมือนกูเด่ะๆเลย เมื่อตอนวันเด็กเดือนมกราที่ผ่านมา กูโดนทุบรถขโมยกระเป๋ากล้อง หมดไปมูลค่า 8 หมื่น) พอถึงที่สถานี ไปแจ้งความครับ (ตะกี้บอกแล้ว คืนนั้นเป็นวันเด็ก) กำลังจะนั่ง เล่าเหตุการณ์ครับ แต่ไอ้ตำรวจที่ผมคุยด้วย มันสนใจเรื่องอื่น มันไปถามตำรวจคนอื่นด้วยความเร่งรีบ "เฮ้ย เขามีจับรางวัลอะไรบ้างแล้วเนี่ย จะรีบไปแล้ว" เฮ้ย!! เมิงสนใจงานเลี้ยง มากกว่าประชาชนนี่หว่า!!! สุดท้าย ผมถามตำรวจ ว่าพี่ไปช่วยดูกล้องวงจรปิดย่านนั้นไม่ได้เหรอ เพราะแถวนั้นมีร้านเกมและหอพักเยอะ น่าจะมีกล้องหันด้านนอกเยอะ ตำรวจบอกผมต้องไปขอจากร้านด้วยตัวเอง ถ้าหาเจอค่อยขอวิดีโอนั่นมาให้ตำรวจ (อ้าว กูต้องดูแลตัวเอง ใช่ไหมนี่ แล้วจะพึ่งตำรวจได้ยังไงล่ะ?) จบด้วยการบอก "ทำใจเถอะ" ประโยคปิดคดี จบ แหม ถ้าไม่ใช่ซีแนม ไปร้องแจ้งความกับช่องสาม คุณเดาได้เลยครับ ตำรวจมันไม่ไปตามจับคนร้ายหรอก ถ้าจะจับก็จับได้นี่หว่า ได้หน้าบานออกทีวีด้วย *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~* พอ จบเรื่องส่วนตัว เพราะฉะนี้ จึงมาแนะนำ คำเรียกตำรวจของฝรั่ง ที่คุณอาจไม่รู้จัก หรือเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ถ้าเป็นศัพท์ไทย อาจจะเจอ หมาต๋า ไอ้หัวปิงปอง อะไรประมาณนี้ แต่ก่อนจะไปถึง รู้จักคำที่คุ้นหูคุ้นตาก่อน ตอนเด็กๆเราเรียนคำว่า ตำรวจ คือ Police แต่พอดูหนังมากขึ้น คุณจะชินกับคำว่า Cop ซะมากกว่า เหมือนเวลาที่เห็นในหนัง การสอบสวนคนร้าย คุณจะได้รู้จัก เทคนิคการสอบสวนแบบ Good cop - Bad cop ตำรวจดี - ตำรวจเลว ประมาณตอนสอบสวน เห็นพี่จ่าโหด ตะคอกสลับตบปากแข็งๆของ คนร้ายให้สารภาพ แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็เปลี่ยนหน้าที่ให้ตำรวจแสนเงียบขรึม ดูแฝงด้วยปัญญา เข้ามาลูบหลัง (แบบนี้ใช่ไหม ที่เรียกตบหัวแล้วลูบหลัง แต่คนละคนกัน)เข้ามาเสนอ อยากดื่มอะไรไหม ไม่ก็ยื่นบุหรีให้ พร้อมบอก อยากจะช่วยเรานะ แต่ก็ต้องยอมช่วยพวกเราตำรวจในการสืบสวนด้วย คุณจะได้ไม่ต้องไปเจอจ่าโหด เด๊่ยวแกฟิวส์ขาดกลับมาอีก แล้วผมจะช่วยอะไรไม่ได้น้า เอาละสิ เจ้า ผู้ต้องหาได้เจอ ทั้งไม้แข็งไม้นวมเลยเอ้า เสริม ที่อเมริกา ภาพลักษณ์ของตำรวจ มักคู่กับ อะไร!? คำตอบ: โดนัท มนัสนันท์ เอ้ยไม่ใช่ !!! โดนัท Doughnut ที่เรารับประทานกันนั่นแหละ เพราะอะไร จะอธิบายเอนทรี่หน้า ตำรวจ คู่กับ โดนัท *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~* หากเวลาคุณต้องการตะโกนเรียกตำรวจ คุณควรตะโกนเรียกว่า Officer จะดูดีกว่าเวลาอยู่ที่เมืองนอกนะครับ หรือเวลาคุยกับตำรวจซึ่งๆหน้า ควรเรียกตำรวจว่า Officer *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~* ที่กล่าวข้างบนทั้งหมด ถือว่าเป็นคำศัพท์ที่แสนธรรมดามากเลย โถ ใครเป็นผู้อ่าน Street English ของผมมา ย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่า ถ้ามันมีคำศัพท์เรียกตำรวจอยู่เท่านั้นนะ Street English เขาไม่นำมาเขียนร้อกกก มารู้จักแสลงแปลกๆ ที่อเมริกันเรียกตำรวจกันเถอะครับ *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~* นี่เป็นศัพท์หมูๆ หมูมากเลย ไม่หมูได้ไงล่ะ ก็ตำรวจ มีอีกชื่อในการถูกเรียกว่า Pig แต่อย่าใช้คำนี้ให้ตำรวจได้ยิน เพราะนี้คือคำพูดเหยียดหยามตำรวจครับ ที่มานำเสนอ เผื่อมีตำรวจไทยที่อ่านบลอกนี้อยู่ เวลาจับฝรั่งเป็นผู้ต้องหา เกิดเขาพูดถึง Pig Pig Pig จะได้รู้ว่า เมิงอ่ะถูกด่าอยู่ รู้หรือเปล่า!?!? คำนี้เคยเจอเป็นมุขในหนังเรื่อง Dr. Dolittle ที่แสดงโดย ป๋าเอดดี้ เมอร์ฟี่ หมอคนหนึ่ง ที่อยู่ๆ มีความสามารถในการสื่อสารกับสรรพสัตว์ได้ มีฉากๆหนึ่ง (ไม่รู้ภาค 1 หรือ 2 จำไม่ได้) ที่ดอกเตอร์คนนี้ ต้องรักษาเสือ ตัวหนึ่งเลยแอบลักลอบพาเสือเข้าโรงพยาบาล จนเกิดเรื่องวุ่น เหล่าตำรวจทั้งหลาย ต้องมาล้อมโรงพยาบาลไว้ แต่พวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย มาขวางทางเข้าโรงพยาบาลไว้ เจ้าฝูงเป็ดทั้งหลายด้านบน ตะโกนเลยครับ Pigs go home!!! Pigs go home!!! เหล่าหมูน้อยที่ออกันหนัาประตูทางเข้าก็งงกันใหญ่ เอ้ะ พวกฉันเหรอ ให้กลับบ้านเหรอ!?!?! เจ้าพวกเป็ดเลยต้องบอกว่า Oh not you!! Sorry. โอ้ ไม่ใช่แก โทษที ถ้าดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้จักคำนี้ ก็ไม่เก็ตมุขฝรั่งแล้วครับ เป็นยังไงล่ะ *~*~*~*~*~*~*~*~*~* คำต่อไป ใช้เป็นตัวเลข แต่ฝรั่งเขารู้จักกันหมด เราคนไทยน่าจะรู้จักไว้บ้างนะ Five-O หรือ 5-0 แรกๆผมรู้จักคำนี้ แต่ไม่รู้ที่มาหรอก แต่พอผมพูดให้คุณแม่ฟัง แม่เลยบอกว่า เหมือนหนังซีรีส์เรื่อง Hawaii Five-O เลยใช่ม๊า แม่ดูสมัยสาวๆ เรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจไงล่ะ '-_- แสดงว่ามันคงนานมากเลยนะแม่ แต่ปัจจุบันใช้กันแพร่หลาย รวมถึงฮิพฮอพสมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ เวลาตำรวจมาจับวงไพ่ ก็มีคนดูทางตะโกนในหนังเลย Five-O!!! *~*~*~*~*~*~*~* ยาวไปแล้ว งั้นขอรีบเสนอคำเรียกตำรวจอย่างอื่น แบบกระชับพื้นที่ตรงนี้เลยละกัน Popo เป็นแสลงฮิพฮอพอีกแล้ว แต่ฟังดูหน่อมแน้มมั้กมาก

STREET ENGLISH - Join the club

เดี๋ยวจะหาว่ามาตั้งชมรมลัทธิอะไร แล้วมาชวนเข้า เหมือนชวนมาทำขายตรงด้วยกันหรืออย่างไร ไม่ใช่ สำนวนนี้คือการแสดงออกว่า เห็นด้วย ฉันก็เหมือนกัน หัวอกเดียวกันนั่นแหละ เช่น Dude I ain't got no money เพื่อน ฉันไม่มีตังค์ซักแดงเลยว่ะ ๊Uh huh. อืม... Really! I'm really broke right now. จริงๆนะว้อย เนี่ยถังแตกจริงๆตอนนี้ Uh huh. อืม... Can you lend me some dough? man ขอยืมตังค์แกได้ป่ะ? Join the club! Moron! อั๊วก็เหมือนลื้อแหละวะ ไอ้ฟาย.. *ตัวอย่างบทสนทนานี้เต็มไปด้วยแสลง เดาๆกันเองเลยว่าคำไหนบ้าง -------------------------------------- My husband is such a jerk. สามีดิฉันมันเป็นคนห่วยจริงๆ Join the club ของชั้นก็เหมือนกัน -------------------------------------- ํYou don't have any place to stay? นายไม่มีที่ซุกหัวนอนเหรอ Join the club ข้าก็เหมือนแกแหละ -------------------------------------- Did you get fired too? นายก็โดนไล่ออกมาเหมือนกันเหรอ ๋Join the club มา มะ มาเข้าชมรมคนตกงานกัน --------------------------------------- สำนวนนี้ใช้ได้ทั้งอังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลีย แต่ที่อเมริกา อาจจะได้ยินอีกคำว่า Welcome to the club! ยินดีเข้าชมรมเพื่อน --------------------------------------

PED XING

เป็นป้ายบอกว่าคือทางม้าลาย ย่อมาจาก pedestrian crossing

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 11 การดำเนินการประชุม-2 (Conducting the Meeting-2)

เพื่อให้การประชุมดำเนินไปในทิศทางที่มุ่งไว้ ผู้ที่ทำหน้าที่ประธานหรือผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมต้องคอยกำกับและกำหนดทิศทางของการสนทนาให้อยู่ในกรอบของหลักการหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยแจ้งให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบหากกำลังพูดออกนอกเรื่องหรือพูดคนละประเด็นกับที่กำลังถกแถลงกันอยู่ รักษาเวลาของการถกแถลงหากมีผู้หนึ่งผู้ใดพูดนานเกินไป และสรุปเรื่องหรือประเด็นภายหลังจากที่มีการถกแถลงกันอย่างกว้างขวาง ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อจะได้เข้าสู่การพิจารณาเรื่องหรือประเด็นอื่นๆต่อไป แจ้งให้ทราบว่าผู้พูดกำลังพูดออกนอกประเด็น I think we'd better keep to the scope of the meeting. I'm afraid that's outside the scope of this meeting. (Let's) keep to the point, please. I think we're beginning to lose sight of our main point. I don't think that is relevant to what we're now discussing. Let's not get side-tracked. Could you stick to the subject, please? รักษาเวลา We're running out/short of time. There's not much time left. We'd better get moving. There are other points to be discussed. สรุปเรื่องที่ผู้อื่นพูด So, to summarize what has been said/suggested so far ... . What we've discussed so far is/are ... . การเข้าสู่การพิจารณา (เรื่อง) ต่อไป Shall we continue then? Let's move on (to the next point). Mitch, would you like to introduce the next point? Well, I think we pretty well cover everything on that point. Let's move on. Onto item 2. Who's going to open this one? Can we go on now to ... .

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 10 การดำเนินการประชุม-1 (Conducting the Meeting-1)

เมื่อการประชุมเริ่มต้นขึ้น เป็นหน้าที่ของประธานการประชุมที่จะดำเนินการประชุมให้เป็นไปตามวาระ หลักการ และกฎเกณฑ์ที่ได้ตกลงกันไว้ภายในกรอบเวลาที่จำกัด ดังนั้นประธานการประชุมจะต้องคอยกำกับดูแล ตลอดจนควบคุมและส่งเสริมการพูดและการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมประชุมอื่นๆ เพื่อให้การประชุมนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ซึ่งจะต้องอาศัยคำพูดแบบต่างๆสำหรับแต่ละสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การเริ่มเข้าสู่วาระการประชุม การมอบให้ผู้อื่นดำเนินการประชุมต่อไป การเชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมประชุมมีส่วนร่วมในการออกความเห็น การขอให้ผู้พูดกล่าวซ้ำ และการทวนหรือการเรียบเรียงคำพูดของผู้อื่นเสียใหม่เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น การเริ่มเข้าสู่วาระการประชุม Now let's move onto the first item/point. Let's look at the first item/point. Has anyone anything else they wish to add before we move on to the next item/point? Can we go on now to ...? Has anyone anything further to add? Could we move onto item 4 on the agenda? การมอบให้ผู้อื่นดำเนินการประชุมต่อไป Richard, over to you. John, would you care to carry on from here? I'd like to turn it over to David. การเชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็น Would you like to begin/open the discussion, Mike? Would you like to add/suggest anything, Grace? What do you think about ..., Paul? Anything to add, Peter? What about you, Kathy? We haven't heard from you yet, Michael. What do you think about this? Would you like to comment here? Mr. ..., would you like to say something about this? การขอให้ผู้พูดกล่าวซ้ำ (I'm) sorry. I didn't hear what you said. Would you mind repeating it, please? (I'm) sorry. I didn't quite catch what you've just said. Would you please say it again? (I'm) sorry. I don't quite follow you. Could you go over that again, please? What exactly do you mean by ...? I'm not sure I follow you. Am I right in saying that ...? การเรียบเรียงคำพูดของผู้อื่นใหม่ In other words, ... . If I understand you correctly, ... . So you mean ... . So what you're saying is ... .

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 19 การยุติการประชุม (Concluding)

เมื่อที่ประชุมได้ลงมติเรียบร้อยแล้วอาจมีการกล่าวสรุปผลการลงมติให้ที่ประชุมรับทราบอีกครั้งหนึ่ง เพราะอาจจะมีการสั่งการให้บุคคลหรือคณะบุคคลดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมต่อไป การสรุปผลการประชุมในกรณีที่มีการออกเสียงลงมติ We've decided to/that ... . We've agreed to/that ... . การสรุปผลการประชุมในกรณีที่ไม่มีการออกเสียงลงมติ Do we/you all agree to/that ...? If everyone's in agreement/favor, I propose/suggest that ... . So, we've agreed to/that ... . ในกรณีที่ประชุมสั่งการให้บุคคลหรือคณะบุคคลดำเนินการให้เป็นไปตามมติของที่ประชุม ประธานการประชุมหรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องอาจแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบด้วยคำพูดต่อไปนี้ ชื่อ , would you please see to it that ...? ชื่อ , do you think you could ...? ชื่อ , how about กริยาช่อง 1 + ing ...? ชื่อ , would it be possible to ...? ชื่อ , could you take care of ...? ชื่อ , would it be possible to ...? สถานการณ์ตัวอย่าง Martha, would you please to it if our salesclerk know about the prices change? Mr. Ellis, do you think you could inform our local branches of the policy changes? Marc, could you take care of recruiting new personnel for our branch in Phuket? ต่อจากนั้นอาจเป็นการพูดคุยหรือซักถามเรื่องปลีกย่อยอื่นๆที่ยังไม่มีโอกาสได้กล่าวถึงโดยประธานการประชุมอาจถามขึ้นว่า Is there anything else we ought to consider now? Is there any other business? Does anyone have anything else to add? Anything anyone wants to bring up? Anything we need to cover for today? Have we covered everything? Anybody wants to bring up anything? Is there anything else to be discussed?

STREET ENGLISH - สำนวนเหมียวๆเวอร์ชั้นสั้นๆ

เมื่อสองวันก่อนนี่ ฝนตกหนักมากๆ แบบนี้เลยสินะที่เขาต้องเรียกว่า Raining cats and dogs คือตกห่าใหญ่เลย น้ำท่วมสูงมาก ผมกับแฟนออกไปทานข้าวแถวตลาด จอดรถเอาไว้ห่างตั้ง 500 เมตร เห็นจะได้ ต้องเดินลุยน้ำขยะดำกลับรถที่มีน้ำท่วมสูงเท่าเข่า แบบนี้ละมั้งที่เขาว่าฝนตกเป็นหมาเป็นแมว เห็นสำนวนแบบนี้ทำให้นึกได้ว่า เคยเขียนสำนวนปากหมาไปแล้ว แต่ทำไมไม่เคยเขียนสำนวนปากแมวบ้างเลย ยิ่งไม่กี่วันเห็นข่าวผู้หญิงที่จับแมวลงในถังขยะ ให้มันติดอยู่ในนั้นถึง 15 ชั่วโมง ไม่รู้ทำไมทำเช่นนั้นได้ น่าสงสารน้องเหมียวมากกกก แต่ว่าผมยังคงเคยสัญญาว่าจะอัพสั้นๆจนครบ 10 เอนทรี่ก่อน วันนี้ขอแค่พอหอมปากหอมคอก็พอละกัน เลือกแค่สำนวนที่ได้ยินเองบ่อย และใช้ได้จริงครับ ขอเก็บอัพเวอร์ชั่นเต็มในอนาคตนะ ------------------------------------ นายเอ: เฮ้ยเมื่อคืน ไหนว่าจะกลับบ้านนอนแล้ว ขาออกไปเห็นแกแอบมีหญิงกลับด้วยนี่หว่า นายบี: เอ่อ .... นายเอ: เฮ้ย น้องที่ไหนว่ะ หนะๆ ตูเห็นนะเว้ย ตอนแกขับรถออกไปอะ มีหญิงนั่งกลับไปด้วย นายบี: ..... นายเอ: อย่ามา อย่ามา บอกมาเลยเธอเป็นใคร นายบี: .... นายเอ: ็Has the cat got your tongue? เฮ้ยเอ็งเป็นใบ้แดกหรือไงว่ะ? นายบี:.... เอ่อ เมื่อคืนนี้กูกลับคนเดียวนะ นายเอ: ..... สำนวนนี้ประหนึ่งว่า เอ็งเป็นใบ้แดกหรือไง ทำไมไม่พูด ขณะที่อีกสำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการพูดอีกแล้ว Let the cat out of the bag อันนี้กลับกันเป็นว่า เผยความลับออกมา ลูกน้อง: หัวหน้า ครับ เจ้านี่มันไม่ยอมเปิดเผยว่ามันมาจากที่ไหน ถึงลอบเข้ามาในรังของเราครับ หัวหน้า: หึๆ ไม่คิดจะสารภาพเหรอ Let the cat out of the bag. บอกมาซะเถอะไม่งั้นแกจะโดนช๊อตด้วยไม้ช๊อตยุงของข้า ลูกน้อง: โห น่ากลัวมากกกกก -------------------------------------- นี่เป็นเอนทรี่ ที่ 5 ที่สัญญากับตัวเองว่าจะอัพสั้นๆ 10 เอนทรี่ติดต่อกัน แต่เริ่มจะฝืนตัวเองอยู่แล้วนี่ อืมดูข่าวในทีวีต่อ แล้วอยากบอกว่า Let the cat out of the Trash!!! เอาเจ้าเหมียวออกมาจากถังขยะนะ!!!!

เขาติดเหล้า

เรามักจะยินบ่อยๆ เวลาคนไทยบอกว่า คนโน้นคนนี่ติดเหล้า เรามักจะพูดว่า He is Alcoholism ซึ่งก็มีความหมายคล้ายๆ กับ I am Buddhism นั่นแหละครับ คือเราเป็นพุทธศาสนาไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้เหมือนกัน หากจะพูดต้องบอกว่า He is an alcoholic. เขาติดเหล้า

STREET ENGLISH - She's out of my league.

เรื่องนี้ไม่เคยดู และคงไม่ได้สนใจหากว่า ไม่เห็นชื่อเรื่องก่อน ชื่อเรื่อง She's out of my league. แปลตรงตัวคือเธออยู่คนละลีกกับฉัน หรือภาษาลูกทุ่งบ้านเราพูดกันว่า ดอกฟ้า กับ หมาวัด จะเป็นหมาพันธุ์อะไรไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญ ผมกลัวเห็บมันจะมาเกาะขาเอา นายเอ: Dude!! that girl looks so smokin' hot!! I gonna go hollar at her. เฮ้ยมึงดูนั่นดิ๊ น้องคนนั้นแจ่มแจ๋วไปเลยว่ะ อั๊วจะไปจีบซะหน่อยเป็นไง นายบี: Idiot! She's totally out of your league, pal. ไอ้งั่งเอ๊ย เธอมันห่างไกลกว่านายโขเลยวะ เคยรวมคำศัพท์ว่้า Dude Pal ที่ใช้เรียกเพื่อนในเรื่องเก่าๆแล้ว http://streetenglish.exteen.com/20070828/friend ---------------------------------------------------------------- You know what your problem is? Kirk. นายรู้ไหมว่าปัญหาของนายคืออะไร What? อะไรหรือ You're moodle นายเป็น มุดเดิ้ล a moodle? มุดเดิ้ลเหรอ A man-poodle. Girls, they wanna take you out for a walk. They wanna feed, they wanna cuddle ya. BUT! no girl wants to do a moodle. แมน+พุดเดิ้ลไง ผู้หญิงแค่ต้องการพาเดินเล่น ให้อาหาร กอดเล่น แต่ไม่มีสาวใด เอากับมุดเดิ้ลหรอก No one would ever **** a moodle. ดูฉากแรก คุณจะได้รู้จัก แสลงใหม่ วันนี้ Moodle เกิดจากสมการของ Man บวกด้วย Poodle นิยามของ Moodle จาก Urbandictionry คือ women like to walk the moddle, feed the moodle, play with the moodle, but they never do the moodle พูดง่ายๆคือ ผู้ชายที่ผู้หญิงเล่นๆเอ็นดู แต่ในทางปฏิบัติ คือถูกใช้งาน ขับรถรับส่ง ไปช่วยถือของหน่อย แต่จะไม่เคยได้ get laid -------------------------------------------------- I think I lost my iPhone. ฉันว่าฉันทำไอโฟนหายนะ Calm down. I'll call it. ใจเย็น เดี๋ยวโทรให้จ้ะ Hello? Hello. Thanks god you have my phone Would you hold on a minute. You're not supposed to be on your phone. It's bad for the plane. คุณไม่ควรใช้โทรศัพท์นะครับ มันไม่ดีกับเครื่องบิน Oh! I'm sorry. Are you a plane doctor. No? so shut the hell up! โทษนะคะ คุณเป็นหมอเครื่องบินหรือคะ ถ้าไม่ใช่ หุบปากไปซะ ตรงนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจาก Shut the hell up! หรือบางคนจะพูดว่า Shut the **** up! --------------------------------------------------- This Molly is the hard 10, meanwhile. The guy's 5 แหมนี่แหละมีการจัดเรทติ้งกันด้วย ห่างชั้นกันแบบนี้ ชื่อหนังจึงชื่อ She's out of my league ยังไงล่ะ ------------------------------------------------- คำศัพท์น่าสนใจที่ฉากว่ายน้ำ ขณะที่เพื่อนพระเอกปาลูกบอลโดนหัวพระเอก ผู้หญิงชมว่า Nail it นี่เป็นคำชมนะครับ แปลว่าทำได้เยี่ยม หรือทำเกินร้อยนั่นเอง ยังแปลว่า Do it ! ด้วยเช่นกัน ------------------------------------------------- I brought a girl with me so please don't be a jerk. ฉันพาสาวมาด้วยนะ อย่าทำตัวป่วนได้ไหม พอเพื่อนเห็นสาวนางเอกเท่านั้นแหละ Are you a hooker? or a prostitute i mean? Nope. Oh Come on. let's go for a dip, girl! You know what? I don't even have a bathing suit. Uh... underwear is fine. Underwear would be fine, I f I'm wearing any. hooker ก็คือแสลงว่าอีตัวนั่นแหละ

เอกสารต้นฉบับ vs เอกสารฉบับสำเนา

เอกสารต้นฉบับ - original document เอกสารฉบับสำเนา - copy, copies รับรองสำเนาถูกต้อง - certified true copy

STREET ENGLISH - ด้วยความบังเอิญ...

เอนทรี่นี้ มันบังเอิญจริงๆ ครับ บังเอิญที่ว่า ตอนเช้านี้ ผมอยากเขียนสำนวนหนึ่งพอดี แต่ก็ขี้เกียจนิดหน่อย เพราะวันนี้เด็กเฝ้าร้านขอลาหยุด ผมเลยต้องมานั่งเฝ้าร้านเนตด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรทำเลยเอาแต่เล่นเกม กับอ่านการ์ตูนไปเรื่อยในอินเตอร์เนต (ผมอ่านเป็นภาษาอังกฤษนะครับ เวลาอ่าน) ผมเพิ่งเริ่มตามอ่านการ์ตูนเรื่อง 20th Century Boys ครับ หลังจากเห็นว่าการ์ตูนเรื่องนี้เอามาทำเป็นหนังโรง เลยอยากไปอ่านการ์ตูนดูบ้าง (แต่หนังยังไม่ได้ดูนะ) อ่านไปตอนที่ 100 พอดี ก็บังเอิญ จ้ะเอ๋กับสำนวน เดียวกับสำนวนที่ผมคิดไว้ว่าอยากเขียนเมื่อตอนเช้าพอดี ประโยคที่ บังเอิ๊นบังเอิญ เจอก็คือสำนวนสุดท้าย นั้นแหละครับ "Speak of the devil" หรือบางคนจะพูดว่า "Talk of the devil" ก็ได้ ประมาณว่า พูดถึงก็มาพอดีเลย ใช้เมื่อเวลาเรากำลังพูดถึงใครอยู่ แล้วคนๆนั้นก็โผล่มาจ้ะเอ๋พอดี ตัวอย่างประโยค คงไม่ต้องแล้วนะครับ เพราะการ์ตูนข้างบน เป็นตัวอย่างได้พอดีเลย ------------------------------------- สำนวนคล้ายๆกันก็มีครับ ง่ายๆเลยเวลาที่เราอุทานว่า บังเอิญจัง ก็ What a coincidence!! แน่นอน แค่เติมคำว่า What a... ก็ใช้อุทานได้หลายเรื่องแล้ว ส่วนคำว่า Coincidence แปลว่าความบังเอิญอยู่แล้ว กับอีกสำนวนที่คล้ายกับสำนวนไทยว่า โลกกลมจังเลย ฝรั่งเขาใช้คำว่าโลกเล็กครับ ว่า It's a small world. -------------------------------------- แต่ละคำก็แล้วแต่เหตุการ์ณนะครับ ใช้ได้ไม่เหมือนกัน แต่เอนทรี่นี้ ก็เกิดจากความบังเอิญจริงๆ แฮะ

STREET ENGLISH - รวมสำนวนเก๋ๆ "เงียบเหอะน่า", "ไปให้พ้นเลยไป"

เอนทรี่นี้ เขียนขึ้นด้วยความหงุดหงิดส่วนตัวเล็กน้อย ที่อยากเขียนรวมสำนวนแนวสตรีทภาษาข้างถนน ตามสถานการณ์ต่างๆแบบเก๋ๆแนวๆ ไปใช้แทนประโยคเดิมๆ จำเจ ที่เราเคยเรียนหรือได้ยิน(ตามคอยเซปท์) สำนวนเหล่านี้ เขาจะเรียกว่า Expression คือภาษาพูดที่มีการแสดงอารมณ์ สำนวนพวกนี้ ผมพยายามเค้นรวบรวมจากความคิดตัวเองให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นคงจะมี ขาดตก เป็นบางสำนวนไปบ้าง ขอเริ่มเปิดสถานการณ์ ที่มีคนพูดมาก หรือ เรียกได้ว่าน่ารำคาญ ชวนกินประสาทคนฟังอย่างเรา เรา ก็อยากจะบอกให้มันหุบปากเหลือเกิ๊น จะพูดได้อย่างไรบ้าง -------------------------------------------------------------------------------- เวลาเราเจอคนน่ารำคาญ พูดมาก เราอยากตอกมันกลับ ให้ "เงียบซะมึงน่ารำคาญ" ได้แบบแนวๆ ไม่จำเจแค่คำว่า shut up ได้อย่างไรบ้าง Shut up Bite your tongue - (ถ้าไปแปลตรงตัวมันก็ให้กัดลิ้นตัวเอง) You've made your point - สำหรับพวกที่พูดซ้ำๆซากๆ อธิบายหลายรอบเกิน บอกมันเลย "เออ เข้าใจแล้วเว้ย อธิบายซ้ำซากอยู่ได้" Not another word - "หยุดพูดได้แล้ว รำคาญ" Say no more Shut your mounth - เจอตรงตัวภาษาไทยแล้ว "หุบปากน่า" Pipe down - (อธิบายไม่ออก เอาเป็นว่า เงียบไปละกัน) Give me a break - อันนี้ออกแนวอีกฝ่ายต่อว่าเราที่เราทำผิด ก็พูดอยู่นั่นแหละ "เออๆๆ กูรู้แล้ว พอๆอย่าตอกย้ำ" Zip it - คำนี้เพิ่งคิดออกพอดี ตอนดูหนังMr & Mrs Smith แล้วได้ยินพอดี "รูดซิปปากไปซะ" ไงละ -------------------------------------------------------------------------------- พอแล้วกับสำนวนสั่งให้เงียบ แต่ถ้าเจอคนน่ารำคาญกว่ามากๆ ประมาณว่าเราอยากให้มัน ไปไกลๆ ไปให้พ้น ไปไกลๆตีนกู จะพูดว่าอะไรได้บ้าง เริ่มจากง่ายๆที่คุ้นหูก่อนเลย Go away - ไปเลยไป Get lost - ไปไหนก็ไปเลยไป Get out - ออกไป (อย่ามายุ่งกะกู) Beat it - หยาบหน่อย ไปไกลๆตีนเลยไป Knock it off - ได้ยินครั้งแรกจากหนังซักเรื่องอะนะ Buzz off - ไปเลยไป Clear off - ส่วนมากเห็นเวลาให้สลายกลุ่มไป เช่นให้เด็กๆออกจากสนามเด็กเล่น Hey kids. Clear off. We going to close here soon. "เด็กๆ กลับไปได้แล้ว เราจะปิดแล้ว" Go to hell - ไปลงนรกไป (ออกแนวเคือง เกลียดมัน) Drop dead - ไปตายไป Out of my sight - "ไปไกลๆ อย่ามาให้เห็นหน้านะ" (เกลียดหนังหน้ามัน) Go jump in the lake Go fly a kite Go fry an egg - สามอันรวดนี้ ออกแนวแบบ "จะไปทำอะไรก็ไปเลย (อย่ามากวนใจ)" ให้ไปทั้งโดดน้ำ ชั...เอ่อ เล่นว่าว ทอดไข่ ก็ไปทำเลยไป Hop it - ไปๆ Push off - คำนี้ก็น่าจะเป็นคำอเมริกันนะ ไปให้พ้น Leave me alone - "อย่ามายุ่งกับฉันน่า" อยากอยู่คนเดียว Do you mind? - เพิ่งคิดออกตอนเขียนถึงตรงนี้พอดี "เอ่อ โทษนะครับ" (ออกแนวประชด แบบว่า เฮ้ย โทษนะ มึงอะ รู้ตัวเปล่า กูรำคาญ) -------------------------------------------------------------------------------- วันนี้แนะนำสำนวนเท่านี้ก่อนละกันนะครับ ใครมีประโยคไหนรู้จักอีก แนะบอกผมด้วยนะ อ๋อที่สำคัญ ถ้าคิดจะเอาสำนวนพวกนี้ไปใช้ คุณต้องใส่อารมณ์หน่อยนะครับ ไปพูดแบบนี้แบบเฉื่อยๆเอื่อยๆ คุณนะแหละจะโดนด่าให้เงียบ หรือโดนไล่ไปแทนละมั้ง ป.ล. ตอนนี้กำลังมีโครงการจะเขียน เรื่องไวยากรณ์ Tenses แต่ปกติแล้วตอนเริ่มเขียนบลอคนี้มาผมเคยตั้งคอนเซปท์ ภาษาอังกฤษแบบไร้ไวยากรณ์ เพราะจะได้ไม่น่าเบื่อ แต่ ดูเสียงเรียกร้องผู้อ่านก่อน ผมเลยกำลังจะกลับไปทำการบ้าน คิดวิธีสอน Grammar โดยเฉพาะเรื่อง Tenses ที่คนไทยมีปัญหากันมากที่สุด ให้สนุกและเข้าใจง่ายขึ้นน่าอ่านได้อย่างไรอยู่ เอาไว้รอติดตามนะ

STREET ENGLISH - ไอเทมที่เหยียดผิวคนผิวสี

เอนทรี่นี้ผมเขียนขึ้นมา ไม่ได้เป็นการเหยียดผิวเป็นตัวอย่าง หรือการชี้โพรงว่าต้องเหยียดเขาอย่างไร เราต้องระวังเรื่องนี้ให้มากๆเลยครับ ขนาดผมเขียนเอนทรี่นี้ขึ้นมา ก็ต้องเขียนให้ระวังเป็นพิเศษ ที่อัพเรื่องนี้มาให้เพื่อนๆได้อ่าน ก็เพื่อให้ได้เป็นความรู้กันอีกแล้ว แต่เรื่องนี้เจาะประเด็นไปตรงที่ การเหยียดสีผิว (Racism) ปกติแล้ว คนผิวสี ในอเมริกาเอง เราก็ควรเรียกพวกเขาว่า African American หรือจะไปเรียกพวกเขา ว่า Black People ก็ไม่ได้เหยียดผิวอะไร ความจริงอาจจะไม่ได้เหยียดผิว แต่คนผิวสีบางคนอาจจะเซนส์สิถีบบบ ก็มีนะ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ควรเรียกพวกเขาแบบคำแรก African American จะดีที่สุดครับ อีกหนึ่งคำเลยที่ผมยังเห็นคนไทยไปเรียกเขา โดยหารู้ไม่ว่าไม่ควรมากๆ คือคำว่า นิโกร คำนี้เห็นได้ยินทางทีวีด้วยนะครับ นักร้องลูกทุ่งบ้านเรา ขึ้นไปรับรางวัล อะไรซักอย่างในทีวี แล้วกล่าวเอ่ยขอบคุณใครซักคน แล้วก็บอกว่า "... พี่เขาเป็น นิโกร" ผมทราบดีว่าคนพูดแค่ไม่รู้ ก็เลยไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดผิวหรอกครับ แต่ถ้าเขารู้จักว่าคำนี้ไม่ควรออกจากปากเลยจะดีกว่า คำแสลงอย่าง ***** หรือ ****** คำนี้ถึงแม้เราจะได้ยินในหนัง หรือคนผิวสีพูดใช้กันเองมากเป็นประจำวัน อย่างกับทานอาหารวันละสามมื้อ แต่ถ้าเขาได้ยินจากหู ว่าคำนี้ออกจากปากคนที่ไม่ใช่ผิวสี ก็ อาจจะนำไปสู่ดงตีนของพวกเขาได้ อีกคำที่ถูกเรียกคือ Color People บางครั้งผมเองก็รู้สึกไม่ดีซักเท่าไหร่ที่ผมได้ยินญาติผู้ใหญ่ของผมเอง เรียกพวกคนผิวสีว่า ไอ้มืด เช่น "ระวังนะ ไปกิงข้าวแถวนั๊ง มังมีพวกอ้ายมืด เยอะน้า" (ญาติๆในอเมริกาบางคนเชื้อจีนเลยพูดไม่ชัด แบบนี้นะ) อันนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ คือญาติผู้ใหญ่ผมบางคน อาจจะมองภาพรวมคนผิวสี ดูน่ากลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ มันก็เป็นเรื่องจริงครับ คนผิวสีที่เป็นแกงค์เป็นนักเลงในย่านบางย่านมันน่ากลัวจริงๆ แต่ผมเองตอนอยู่ที่อเมริกาก็มีสนิทๆอยู่สองคนที่เป็น African American คนหนึ่งผมมักเจอหน้าเขาเป็นประจำทุกเช้า เวลารอรถบัสไปเรียน เวลาที่เจอปั๊ป มันก็ต้องทักทายผมแบบนี้ทุกครั้งเลยครับ "Hey Narut! Wassup bro!! How you doing!" "Yo What's up Narut!" "A-yo, what's cracking? man!" ประมาณนี้เลยครับ มาแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าเลย (ที่อเมริกา เพื่อนๆจะเรียกชื่อจริงผมว่า Narut นะครับ) และการทักกันของเพื่อนคนนี้ มันไม่ได้แค่ทักด้วยวาจาอย่างเดียวนะครับ มันต้องมีการ แท็คมือ ทุกครั้งด้วย ประมาณเอามือมาตบกัน เมื่อมือตบกนแล้วก็จะงอนิ้วเข้าหากัน เพื่อดึงฝ่ามือต่อฝ่ามือของอีกคนเข้าแนบเนื้อกับมือเรามากขึ้น (ทำไมอธิบายสยิวๆจัง) ส่วนคนหนึ่ง ผมจำได้ว่าชื่อ Sham ครับ ชอบติดรถผมกลับหอด้วยกันประจำเวลาเจอกันตอนเย็นครับ คือถ้าไม่เจอตอนเย็นมันก็ชอบนัดแนะไว้ก่อนล่วงหน้าว่า เฮ้ยเดี๋ยวเลิกเรียนกี่โมงแล้วรอด้วยนะ จะติดรถกลับ อยู่ที่อเมริกาบางครั้งฝรั่งบางคนชอบมองเหมารวมหน้าเอเชียอย่างเราเป็นคนจีนครับ ครั้งหนึ่ง ผมเดินแวะไปหามันที่หน้าห้องพักไอ้แชม เพื่อจะชวนออกไปหาอะไรกิน ก๊อก ก๊อก ก๊อก... (ไอ้ก๋องเคาะประตู) ขะหลุก ขลุก ขลัก ตึง ตึง ตุ๊บ (เสียงอะไรว่ะ ในห้องมัน) "แชมมมม!!! you're in there? dude!!" ก๋องลองตะโกนเรียกอีกรอบ ".........." (เงียบ ไม่มีเสียงตอบ) " Shammm~" ซักพักประตูก็เปิดช้าๆ แง้มๆด้วยความห่างแบบให้เห็นแค่ลูกกะตาโตๆ ลูกหนึ่งที่ส่องมองผมมาจากข้างในห้อง คนที่ส่องมองผม หันขวับเข้าไปทางในห้องแล้วตะโกนเป็นเสียงผู้หญิง Sham!! A Chinese guy is looking for you!! ไอ้ห่าาาา กูเคืองนะเว้ย ทำไมเรียกกู Chinese guy อย่าให้ต้องล้อบ้างนะ ตะกี้พวกเมิงสองคนกำลังทำภารกิจกันอยู่สิท่า ไอ้เพื่อนแชมคนนี้คือคนที่โชคดีคนหนึ่ง หรือโชคร้ายก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ เมื่อตอนที่ผมย้ายออกจากเมืองนิวยอร์กแล้ว ผมยกรถเก่าบุโรทัง (คันเดียวกับที่มันขอนั่งติดไปกลับโรงเรียนด้วยประจำนะแหละ) ยกให้มันทั้งคันเลย เหตุเพราะผมขี้เกียจโทรบริษัทเก็บวัตถุโบราณนำไปประเมินราคาที่ไม่น่าจะเยอะอะไรไป ก็เลยพาเพื่อนคนนี้ไปเซ็นเอกสารยกมรดกของผมให้มันไป ------------------------------------------------ เอาล่ะ ฝอยมากแล้ว เข้าเรื่องหลักของเอนทรี่นี้กันดีกว่า คนผิวสี ชอบถูกมองเหมารวม หรือที่เราเรียกว่า การ Stereotype นะครับ ว่าคนผิวสีชอบทานสิ่งต่างๆเหมือนกัน และอาจเป็นที่มาของการเหยียดผิวขึ้นมา สิ่งของต่อไปนี้ผมยกขึ้นมาจากที่ฝรั่งมองเหมารวมคนผิวสี แต่ความเป็นจริงควรมีพิจารณญาณในการอ่านเองนะ อันดับ 1 ไก่ทอด Fried Chicken ใช่แล้วครับ ยิ่งถ้านึกถึงไก่ทอด หากอยู่ที่อเมริกา คุณก็ต้องนึกถึงไก่ทอด KFC ไม่เหมือนบ้านเราที่อาจจะนึกถึงข้าวมันไก่ทอดก็ได้ ไก่ทอดหาดใหญ่ก็ได้(แต่กรุงเทพก็ขาย) ไก่ทอดกับข้าวเหนียว เป็นต้น มีโฆษณา KFC ของประเทศออสเตรเลีย เคยทำคอมเมอเชียลทางทีวีอันหนึ่งแล้วตกเป็นที่วิพาร์กกันว่า นี่คือโฆษณาเหยียดสีผิว ผมขอนำเสนอโฆษณานั้นให้ดูเลยครับ นี่คือโฆษณา KFC ที่เคยตกเป็นประแสถกเถียงกันครับ เพราะเหมือนว่าฝรั่งหัวทองคนหนึ่งไปนั่งชมเกมคริกเก็ตแล้วชาวแอฟริกัน (ที่คราวนี้คงไม่อเมริกัน) ต่างร้องรำทำเพลง แต่พอให้ไก่ทีก็สงบได้ พร้อมพูดว่า Too easy เอาละก่อนจะมาเขียนอธิบายเรื่องนี้ ผมเองก็ต้องไปค้นคว้าให้ดีก่อน ก่อนจะนำมาเขียนลอยๆได้ จึงต้องไปถามพี่กูเอาว่า "Why do black people love fried chicken?" พยายามมองหาคำตอบจากหลายๆที่ ได้คำตอบมาเยอะนะครับ แต่ก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่ามาจากอะไร ของแท้แน่จริง และดูน่าเชื่อถือได้ แต่คำตอบที่ได้ส่วนมากคือ "ใครๆก็ชอบกินไก่ทอดทั้งนั้นแหละ" เสริมอีกนิดคำว่าน่องไก่ ภาษาอังกฤษเราเรียกมันว่า Drumstick ผมเดาว่าที่มาเพราะรูปร่างมันคงเหมือนไม้กลองละมัง ------------------------------------------------ อันดับ 2 แตงโม Watermelon นี่เป็นอีกไอเทมหนึ่งที่ถูก Stereotype ว่า คนผิวสีชอบกินแตงโม ไม่แพ้ไก่ทอดเลย ภาพนี้ผมนำมาจาก Suntimes ครับ ถ้าคนไทยที่เห็นภาพนี้อาจจะไม่เข้าใจเหมือนที่ฝรั่งเห็น ภาพของทำเนียบขาว ที่ข้างหน้ามีไร่แตงโมอยู่ ฝรั่งมองเห็นก็พูดได้คำเดียวครับ เหยียดผิว เพราะในทำเนียบขาวตอนนี้ก็มีบารัค โอบามาอยู่ในตำแหน่ง การทำภาพแบบนี้ขึ้นมา คือการเหยียดผิวเลยละครับ ภาพๆนี้มีข่าวที่มาจาก นายกเทศมนตรี Dean Grose เมือง Los Alamitos ในรัฐ Big Orange (แสลงครับ แสลงของรัฐที่มีผู้ว่ารัฐล่ำบึ่กคนดังนั่นแหละ) ได้ส่งเมล์ภาพนี้ให้เพื่อนร่วมงานหลายคน แต่เจ้าตัวก็ออกมาขอโทษ บอกว่าไม่ได้เจตนาที่จะเหมารวม หรือเหยียดผิวประธานาธิบดี ที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถึงแม้เจ้าตัวจะคิดว่าเป็นการล้อเล่น ตลกๆ แต่สำหรับคนผิวสี อาจจะมองว่า ไอ้นี่แกว่งเท้าหาตีนซะแล้ว สองไอเทมแรกนี่จัดเป็นไอเทมยอดฮิต ที่เราควรระวัง ไม่ควรนำไปเล่นกับคนผิวสีนะครับ แต่สรุปแล้ว ที่ผมหาข้อมูลจากกลุ่มคนผิวสีเอง คนผิวสีออกมายอบรับอยู่ดีว่า พวกเขาก็รักที่จะกินไก่ทอดและแตงโม มีใครบ้างล่ะที่ไม่ชอบ? -------------------------------------------- อันดับ 3 Kool-aid เครื่องดื่มยี่ห้อ Kool-aid อ่านว่า คูล-เลด นะครับไม่ใช่ คู เอด เป็นผงบรรจุในซอง ใช้ผสมน้ำ ก็ได้น้ำหวานรสต่างๆ หวานเย็นชื่นใจดื่มได้แล้วง่ายๆ ผมลองนำคำว่า Kool-aid ไปดูความหมายในเว็บประจำของผม Urbandictionary.com ได้ความหมายว่า The water of the ghettos, The universal drink of the hood, What black people love to drink. จากความหมายทำให้เดาได้ว่าทำไมภาพลักษณ์ของผงผสมเครื่องดื่มนี้จึงมักถูกชอบโดยคนผิวสี น่าจะมาจากเพราะราคามันถูกนั่นเองครับ นอกจากเครื่องดื่ม Kool-aid ก็ยังมีน้ำอีกชนิดคือ น้ำโซดาองุ่น หรือ Grape Soda อันนี้เท่าที่ค้นคว้าดูข้อมูลยังมีน้อยมากครับว่าทำไมจึงจัดเป็นไอเทมเหยียดผิวได้ ไม่เหมือนกับ 2-3 อันดับแรกที่ผมจัดมา งั้นขอจบแค่นี้ละกันนะครับ เรามาดูแบบมีเดียกันบ้างดีกว่า อันนี้อาจจะทำเพื่อล้อเลียนตลกๆ คนดูอาจจะไม่คิดอะไรมาก ส่วนภาพนี้ เหยียดผิวไหม เหยียดครับ มาดูพี่เก้บคนโปรดของผมเล่าเรื่องตลกในเรื่องที่เกี่ยวข้องบ้าง เมื่อดูวิดีโอนี้ พี่เก้บพูดถึง Bar-B-Q potato chips กับ โปสการ์ดฮัลโลวีน ถามว่าแล้วโปสการ์ดฮัลโลวีนมันเกี่ยวอะไรกับการเหยียดผิวด้วยละพี่ คือโปสการ์ดที่พี่เก้บแกล้งเพื่อนนั่นเป็นรูปของผี มันเป็นชุดคล้ายๆเหมือนของพวกกลุ่ม KKK หรือที่เรียกเต็มๆว่า Ku Klux Klan กลุ่มคนหัวรุนแรงที่เกลียดคนผิวสีมากๆ พวกนี้น่ากลัวมากๆเลยครับ แต่ถ้ากลุ่มแบบรูปภาพนี้มา ถ้ามานี่คงน่ากลัวมากกกกเหลือเกิน *เห็นไหม ทั้งเอนทรี่ผมจะเรียกคนผิวสีว่าคนผิวสี จะไม่ใช้คำว่า พี่มืด คนดำ หรืออะไรแบบนี้ -------------------------------------------------

STREET ENGLISH - สำนวนภาษาอังกฤษ "สมน้ำหน้าแก"

เอนทรี่วันนี้เอาสำนวนฝรั่งมาเขียนหลายๆสถานการณ์ไปก่อนหละกันนะครับ แต่เนื่องจากยังหาข้อมูลไม่ละเอียดพอ เลยหามาได้ไม่น่าจะครบถ้วนดี -------------------------------------------------------------------------------- มีคนสงสัยมาถามผมว่า เวลาเรา "สมน้ำหน้า" ใคร เราจะพูดภาษาอังกฤษว่ายังไง เพราะคนไทยก็ติดปากว่า สมน้ำหน้าแก หรือ แกสมควรแล้ว แต่พอเห็นฝรั่งสมควรโดน อยากไดพูดว่าสมน้ำหน้ามันบ้าง ผมเอาสองสำนวนมาเสนอละกัน ฝรั่งสมน้ำหน้าจะพูดว่า It serves + คนที่โดนสมน้ำหน้า + right หรือ It serves + คนที่โดนสมน้ำหน้า + well ตัวอย่างประโยค She broke up with me เธอเลิกกับฉันแล้ว It serves you right because you cheated on her first มึงสมควรแล้ว ก็ไปนอกใจเธอก่อนเอง break up คือ เลิกคบ (สำหรับแฟนเลิก) นะครับ broke ในประโยคเป็นช่อง 2 อดีตกาล cheat on คือ นอกใจ(แฟน) ปกติ cheat ก็แปลว่าโกงนะแหละแบบที่เราทำกันในห้องสอบ (บางคน) แต่ถ้าเติม on จะแปลว่า นอกใจ คนที่สมควรได้รับ + deserve (s) + it. ประโยคนี้นอกจากสมน้ำหน้า ก็ใช้ในการชมว่าคุณสมควรได้รับในด้านดีด้วยนะคับ ตัวอย่างประโยค I failed English exam again ฉันสอบตกภาษาอังกฤษอีกแล้ว You deserve it because you went out drinking just the night before the exam แกก็สมควรอยู่หรอก ก็แกออกไปเที่ยวดื่มคืนก่อนสอบนี่หว่า (นึกถึงประโยคนี้เคยพูดกับเพื่อน พอดี) แต่นอกจากสมน้ำหน้า เราก็ชมยกย่องคนได้ว่าเขาสมควรได้รับสิ่งนั้น เช่น John got a raise จอนได้ขึ้นเงินเดือนแหนะ Yeah, he deserves it เออ เขาก็สมควรได้อะนะ a raise ตรงนี้ละไว้ในความหมายว่า เงินเดือนขึ้น นะครับ สั้นๆได้ความหมาย แต่ raise เป็นกริยาที่หมายถึงยกขึ้น เช่น raise you hand ยกมือขึ้น หรือ raise up ยืนขึ้น

บ้านหลัง / สำนักงานนี้ร้อนชะมัด

ใกล้เข้าฤดูร้อนแล้ว อีกหน่อยเราอาจจะได้พูดว่า บ้านหลัง / สำนักงานนี้ร้อนชะมัด อย่าพูดว่า It's too much hot in this house / office. แต่ควรจะพูดว่า It's too hot in this house/office. ดีกว่าครับ

If/Whether (... or not)

ใช้นำหน้าข้อความที่เป็นลักษณะการถามว่าใช่หรือไม่ if ใช้ได้เฉพาะนำหน้า noun clause ที่เป็นกรรม เท่านั้น ส่วน whether ใช้ได้ทุกกรณี - I wanted to know if/whether I could accompany him . - He asked if/whether or not he could take a day off. - There is no answer to whether the political turmoil will end soon . - Whether our team will win or not depends on luck. ข้อสังเกต whether จะมี or not ตามหลังทันที ต่อท้ายประโยค หรือไม่มีก็ได้ แต่ if ไม่สามารถ มี or not ตามหลังทันทีได้ - I wonder whether or not the weather will be fine on the day of our departure. - I wonder if/whether the weather will be fine on the day of our departure or not . - I wonder if/whether the weather will be fine on the day of our departure. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no questions นั่นเอง เช่น Direct Question: Did they pass the exam? Indirect Question: I don't know if they passed the exam. 2. ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words 3. จะขึ้นต้น Noun Clauses ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้ แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea. Tell me if you want to go with us or not. 4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคิดคำนึง เช่น I can't remember if I had already paid him. I wonder whether he will arrive in time. 5. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ เช่น Do you know if the principal is in his office. Can you tell me whether the tickets include drinks?

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 18 การลงมติ (Voting)

ในกรณีที่มีปัญหาซึ่งต้องการหนทางแก้ไขที่มาจากการพิจารณาตัดสินใจของที่ประชุม ก่อนที่ประชุมจะตัดสินใจได้นั้นต้องมีการพิจารณาหนทางแก้ไขหรือข้อคิดเห็นซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเป็นผู้เสนอเสียก่อน โดยผู้ที่เสนออาจใช้คำพูดในการเสนอหนทางแก้ไขหรือญัตติดังต่อไปนี้ I'd like to (formally) propose that ... . I'd like to propose the following ... . หลังจากนั้นประธานการประชุมอาจถามที่ประชุมว่ามีผู้ใดเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่ โดยเลือกใช้คำพูดต่อไปนี้ Would anyone like to second that? (Do we have) anyone in favor of that? Who would (like to) second that proposal/motion? การเริ่มสอบถามความเห็นของที่ประชุมว่ามีใครเห็นด้วยกับข้อเสนอใดบ้าง มีคำพูดที่สามารถใช้ได้คือ Could we take a vote on that? Can I ask for a show of hands? Those in favor of ..., please (raise your hands). Those against? All those in favor. All those against. (Do we have) any abstentions? เมื่อทราบผลการลงมติของที่ประชุมแล้ว ผู้ดำเนินการประชุมหรือประธานการประชุมจะต้องแจ้งผลการลงมติของที่ประชุม ซึ่งอาจได้ผลในรูปแบบต่างๆกัน เช่น We've agreed with some reservations that ... . We've agreed unanimously that ... . It seems that we are in agreement that ... . Mr./Mrs.?Miss ...'s motion is carried by (ตัวเลข) votes to ตัวเลข votes. Mr./Mrs./Miss ...'s motion is rejected by (ตัวเลข) votes to ตัวเลข votes. Mr./Mrs./Miss ...'s motion/proposal/etc. is carried/rejected unanimously/overwhelmingly. ในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการลงมติโดยการนับคะแนน ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดความหมางใจกัน ผู้ทำหน้าที่ประธานหรือผู้ควบคุมการประชุมอาจถามที่ประชุมโดยรวมและสรุปเป็นผลการประชุมไปเลยโดยใช้คำถามเหล่านี้ Are we all agreed on that? Can I take it that everyone is /against/in favor of/ that? Do we have a general agreement then that ...?

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 14 การร่วมประชุม-2 (Participating-2)

ในการประชุมนั้นนอกจากจะเป็นโอกาสในการแสดงความคิดเห็นแล้ว ยังเป็นโอกาสสำหรับสอบถามผู้เข้าร่วมประชุมด้วยกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และเสนอคำแนะนำอีกด้วย คำพูดที่ใช้ในการสอบถามความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ควรทราบ ได้แก่ การสอบถามความคิดเห็นของที่ประชุม Has anybody any comments to make? What's the general view on that? I'd like to know the general feeling about that? Any reaction to that? What's the meeting's opinion/view on that? Do you think we should ...? Do any of you have any suggestions? How do you think we should do this? What would you suggest? Any suggestions? การสอบถามความคิดเห็นของแต่ละบุคคล What are your opinion about views on ...? What do you think about ...? What are your feelings about ...? What's your position on ...? I'd like to have your opinions about/views on ... . I'd like to hear your ideas on this. How do you see this? คำพูดที่ใช้สำหรับเสนอคำแนะนำต่อที่ประชุมนั้นอาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ คำเสนอที่ค่อนข้างหนักแน่นและรุนแรง คำเสนอแบบกลางๆซึ่งฟังดูสุภาพและไม่ให้ความรู้สึกว่าเป็นการบังคับให้ผู้อื่นต้องปฏิบัติตาม และคำเสนอที่แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกลังเลไม่แน่ใจของผู้พูดเอง การจะเลือกใช้แบบใดนั้นขึ้นอยู่กับหลักฐานและเหตุผลที่เรามีสนับสนุนข้อเสนอนั้นๆ คำเสนอ/คำแนะนำที่หนักแน่น We must ... . Our only solution is to ... . คำนามหรือกริยาช่อง 1 + ing is our only solution. There is/I see no alternative but to ... . คำเสนอ/คำแนะนำโดยทั่วๆไป (I think) we should/ought to ... . I would suggest that we ... . I recommend that we (should) ... . My recommendation/suggestion is that ... . คำเสนอ/คำแนะนำที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ It might be a good idea to/if we ... . We could ... . How/What about ... . การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้นเราอาจพูดให้ที่ประชุมรับทราบได้ 2 วิธี คือ การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแบบมาตรฐาน (มักใช้กับที่ประชุมระดับสูง เช่น ระดับฝ่ายหรือระดับบริษัท) และอย่างไม่เป็นทางการมากนัก ซึ่งหากจะใช้วิธีหลังนี้ต้องพิจารณาดูว่าเหมาะสมหรือไม่เสียก่อน (อาจจะเหมาะกับการใช้กับที่ประชุมระดับล่าง ซึ่งมีผู้ร่วมประชุมเพียงไม่กี่คน เช่น การประชุมของแผนก เป็นต้น) การเห็นด้วยกับข้อเสนอแบบมาตรฐาน I'm (completely) in favor of that (suggestion/recommendation/etc.). I have (absolutely) no objection. That's a (very) good idea. การเห็นด้วยแบบไม่เป็นทางการ Great/Good idea. Excellent. Sounds good/fine. OK/Fine by me. การไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแบบมาตรฐาน แบบถนอมน้ำใจ I accept your point/reasoning but ... . I appreciate your views/reasoning but ... . That's a good idea but ... . แบบตรงไปตรงมา I'm afraid. I can't accept that. I'm sorry, but that (idea/suggestion) is not quite practical. I'm sorry. I have reservations about that. การไม่เห็นด้วยแบบไม่เป็นทางการ I can't/don't accept that. I'm against that (idea/suggestuib/etc.) That's out of the question. สถานการณ์ตัวอย่าง การสอบถามความเห็นของแต่ละบุคคล Jack, what are your views on our plan to reduce production? What do you think about our new TV ads? ข้อเสนอ/คำแนะนำที่หนักแน่น We must hedge and halt investment for the next three months. Reducing prices is our only solution in a time like this. ข้อเสนอ/คำแนะนำโดยทั่วๆไป + I think we should get rid of our existing inventory. + I would suggest that we maintain the present status. ข้อเสนอ/คำแนะนำที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ + It might be a good idea to sell off some stocks. + We could put our production on hold for a week. การไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแบบมาตรฐาน I accept your point, but I don't think we could wait that long. That's a good idea but we can't afford it at the moment.

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 9 การเปิดประชุม (Opening the Meeting)

ในการเปิดประชุมนั้นมีเรื่องหลักๆอยู่ 5 เรื่องที่มักถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกัน ได้แก่ การกล่าวเริ่ม การแนะนำผู้เข้าร่วมประชุม (หากจำเป็น) การแจ้งวัตถุประสงค์ การแจ้งวาระการประชุม การถกแถลงตกลงเกี่ยวกับกฎเกณฑ์สำหรับการประชุม เช่น ผู้ใดจะพูดและพูดเมื่อใด การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ฯลฯ ซึ่งในแต่ละเรื่องนั้นก็จะมีประโยคให้เลือกใช้ได้ดังนี้ การกล่าวเริ่ม Well, ladies and gentlemen, I think we should begin. Perhaps we'd better get started/ down to business. I think it's about time we got started/going. I think we should begin. Let's begin, shall we? Let's get going/down to business, shall we? Shall we start/get started? Good morning, ladies and gentlemen. If we are all here, shall we start/get started/make a start? If everybody is here, let's start/get started/make a start. If we are all here, I think we should start/get started/make a start. It is time to start our meeting. การแนะนำผู้เข้าร่วมประชุม First of all, I like to introduce ... . First of all, let me introduce ... . First of all, I have the pleasure to introduce/welcome ... . Would you like to say a few words about yourselves? Would you introduce yourselves? วัตถุประสงค์ของการประชุม The purpose of this meeting is, first, to ... and secondly to ... . The main objective of our/today's meeting is ... . We are here today to consider ... . I've called this meeting first to ..., secondly to ... . I'd like to make several points, firstly ... . I'd like to begin by v.1 + ing. วาระการประชุม Have you all got a copy of the agenda? Would someone move that the minutes of the last meeting be accepted? Has everyone received a copy of the agenda? The first item (on the/today's agenda) is ... Let's look at the agenda in detail. As you can see there are five main items/points. I propose/suggest that we take them in that order. การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการประชุม Can we have agreement on the ground rules? I propose the following: I think we will need/spend about ... minutes for item/point ..., ... minutes for item/point ... As/Since we have a lot to cover/get through this morning, I suggest/propose ... Can we now agree on the overall procedure?

การใช้ Per/As Per/According to/As

ในธุรกิจ เวลาที่เราต้องการเขียนอ้างอิงถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกันไปแล้วเช่น ทางโทรศัพท์ ลงในอีเมล มีความนิยมใช้หลายแบบ เช่น According to our conversation over the phone, ... As we had agreed over the phone, ... Per our conversation over the phone, ... As per our conversation over the phone, ... มีหลายที่ที่บอกให้เลือกใช้ As หรือ Per อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะ As กับ Per ในที่นี้มีความหมายว่า According to เหมือนกัน แล้วจะใช้ซ้ำทำไม แต่ก็มีหลายที่บอกให้ใช้ทั้งสองคำด้วยกันได้ คงเป็นเรื่องของความนิยมก็นิยมไปแล้วนิ แต่ก็มีบางคน (ฝรั่ง) บอกอีกว่า As per หรือ Per นั้นเป็นทางการ (เว่อร์) ไป ใช้แบบสองประโยคแรกก็พอแล้ว ข้างบนนี้ทั้งหมดแปลว่า "ตามที่ได้คุยกันทางโทรศัพท์แล้ว ..." บรรทัดที่สอง As we had agreed over the phone ย้ำหน่อยว่า ตามที่เราได้ตกลงกันทางโทรศัพท์ ในที่นี้ เราใช้ over the phone ไม่ใช่ on the phone เพราะ over the phone ให้ความหมายในทางสื่อสารกันด้วยโทรศัพท์ ในขณะที่ on the phone บอกถึงการกระทำ เช่น She's on the phone. เธอคุยโทรศัพท์อยู่ สังเกตว่า As per หรือ Per หรือ According to จะตามด้วย noun เช่น our conversation แต่ As ตามด้วย noun ไม่ได้ แต่จะตามด้วยประโยคแบบเต็มหรือย่อก็ได้ เช่น As we had agreed on the phone, ... หรือ As agreed over the phone, ... (ตัด we had ออก) หรือ As requested... ย่อจาก As I was requested... "Per" the teacher's instructions, the students wrote their reports. "As per" the teacher's instructions, the students wrote their reports. ตามที่คุณครูสั่ง นักเรียนก็ได้เขียนรายงาน ไม่ว่าจะเป็นคำไหน ก็ย้ายมาอยู่ในตำแหน่งกลางประโยคได้ เช่น The patient rested for a week "per" the doctor's advice. The patient rested for a week "as per" the doctor's advice. The patient rested for a week "according to" the doctor's advice. คนไข้พักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ "ตาม" คำแนะนำของแพทย์ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการบอกปริมาณต่อหน่วยวัด ห้ามใช้ AS PER ต้องใช้ PER เฉย ๆ ค่ะ เช่น He eats 2 meals per day. หรือจะใช้ He eats 2 meals a day. ก็ได้ค่ะ (ใช้ a แทน per) เขารับประทานอาหาร 2 มื้อต่อวัน She drives 50 miles per hour. หรือ She drives 50 MPH. (MPH = miles per hour) เธอขับรถด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง

การนำเสนอและการประชุม บทที่ 8 การตอบข้อซักถาม (Handling Questions)

ในระหว่างการนำเสนอนั้นผู้ฟังอาจเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับประเด็นต่างๆขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งหากผู้นำเสนอไม่ได้มีการซักซ้อมความเข้าใจไว้กับผู้ฟังก่อน ก็อาจจะมีผู้คอยขัดจังหวะซักถามอยู่ร่ำไปจนทำให้การนำเสนอขาดช่วงและดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นนัก ดังนั้นผู้บรรยายจึงควรจะเตรียมตัวรับมือกับการซักถามที่อาจเกิดขึ้นโดยเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ดังต่อไปนี้ การให้ซักถามได้ระหว่างการนำเสนอ If you have any questions during my talk, please stop me and ask. If there is any questions, please feel free to (stop me and) ask. Please stop me at any time if you have any questions. I'll be happy to answer any questions that you may have during the talk/presentation. การขอให้ซักถามหลังจากการนำเสนอสิ้นสุดแล้ว If you have any questions (during my talk), please ask me at the end of the presentation. I'll be happy to answer any questions at the end of my presentation. If you have any questions, I'd be pleased to answer them after the presentation. Can I ask you to hold any questions you may have until the end of my presentation? Please hold any questions you may have until the end of my presentation. I would welcome any questions/comments at the end of the presentation. การเริ่มตอบข้อซักถาม Now, I'd be happy to answer any questions (you may have about my presentation). If you have any questions, I'd be pleased to answer them (now). I would welcome any comments/questions. Are there any questions? เมื่อไม่เข้าใจหรือไม่ได้ยินคำถาม I'm sorry, could you speak a little slower, please? Could you repeat your question, please? Let me make sure I get/understand your questions (correctly), are you asking (that/about) ...? I'm sorry, I'm not sure I understand. Is your question ...? I'm sorry, could you speak a little louder, please? ก่อนตอบคำถามที่ไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า I'm glad you asked that questions. That's a good question. Thanks for asking me about that. หลังจากตอบข้อซักถามแล้ว Are there any other questions? Does that answer your question? I hope that answers your question. เมื่อไม่สามารถให้คำตอบหรือข้อมูลได้ I'm sorry, I don't have that information with me. I can try and get it to you later, if you like. I'm sorry, I don't know the answer to that question at this time. I'm sorry, I don't think we have enough time to get into that now, can we discuss/talk about it later? I'm sorry, that information is confidential. I'm sorry, I'm not in a position to discuss that issue/problem/etc. I'm sorry, I'm not permitted to give you that information. เมื่อไม่มีผู้ถามคำถาม If you have no questions. I'll finish there. If there are no questions, I'll finish there. เมื่อหมดเวลาในการนำเสนอ I'm afraid that's all the time we have. I'm sorry (to say) that we've run out of time. ในตอนท้ายสุด ผู้นำเสนอหรือผู้บรรยายควรกล่าวขอบคุณผู้ฟังด้วยคำพูดใดคำพูดหนึ่งต่อไปนี้ Thank you (very much). Thank you for listening. Thank you for your attention.

Keep your head up.

ในหนังเรื่อง Miss Congeniality 2 มีฉากที่หัวหน้าตำรวจบอกกับ นักสืบ Hart (Sandra Bullock) นางเอกของ เรื่องว่า "Keep your head up." หัวหน้าตำรวจไม่ได้บอกให้นางเอกของเรา "เงยหน้าขึ้น" หรอกนะครับ แต่ สำนวนนี้หมายถึง "ระวังตัวด้วยล่ะ"

หากชาวต่างชาติถามว่า "How are you?" คำตอบข้อใดผิด 1. I'm fine. 2. Quite well 3. So-so 4. I'm just fine. 5. Very well, thanks.

ไม่มีข้อใดผิด ครับ นอกจากนี้ยังสามารถตอบได้อีกหลายสำนวน เช่น Great Wonderful หรือ Terrific ซึ่งมีความหมายว่า "เยี่ยม เลย" ได้อีกด้วย

It isn't what they thought it would be

ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด

"Yesterday was a holiday, so I decided to sleep in."

อย่าแปล sleep in ว่า หลับในห้อง เชียวครับ เพราะจริง ๆ แล้ว sleep in เป็นสำนวน แปลว่า นอนตื่นสายครับ แต่อย่าใช้ sleep around กับใครนะครับ เพราะมันแปลว่า มีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นไปทั่ว


संबंधित स्टडी सेट्स

Biology 1108 Exam 2 Review Questions

View Set

RMS II Lecture 1: Review and Stats Intro

View Set

DAT stoichiometry/ thermal general chemistry

View Set

Chapter 17: The Microbiology in Food and Water

View Set

U.S. History Unit 7 Summer School

View Set

Chapter 6 Project Team Building, Conflict, and Negotiation

View Set